ก่อนจะไปดูสูตรและวิธีทำเมนูขนมง่ายๆ อย่างเมนูพานนาคอตตา หลายคนคงอยากรู้จักว่าเป่าเป้เป็นใครมาจากไหน และทำยังไงเธอถึงคว้ารางวัลมาสเตอร์เชฟออลสตาร์มาครอบครองได้ เราไปทำความรู้จักเธอกันเลยดีกว่า
อยากมีความสามารถพิเศษ
เป้เรียนการบริหารโรงแรมจาก Swiss Hotel Management School รู้สึกว่าการโรงแรมมีความเชื่อมโยงกับการทำอาหาร และอยากมีความสามารถพิเศษจึงตัดสินใจไปเรียนทำอาหารคาวกับหวานที่ Le Cordon Bleu Culinary School ประเทศอังกฤษ ส่วนตัวชอบทานอาหารไทยพอ กลับมาอยากเรียนทำอาหารไทยเพิ่ม บวกกับที่บ้านมีแพลนจะเปิดร้านอาหารจึงตัดสินใจเรียน ถึงแม้ไม่ได้เป็นเชฟแต่เราก็คิดว่าควรมีความรู้ติดตัวเอาไว้
การทำขนมทำให้ผู้หญิงดูสวย
นอกจากเป้อยากมีความสามารถพิเศษแล้ว รู้สึกว่าการทำขนมเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงดูสวย คือทุกอย่างมันดูประณีตมากๆ แต่พอเข้าไปเรียนจริงๆ โอ้โห! เหนื่อยมาก เข้าไปเรียนสัปดาห์แรกคือทั้ง 9 นิ้วต้องปิดด้วยพลาสเตอร์หมดเลย เราไม่เคยเข้าครัว ไม่เคยจับมีด ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ มือก็แห้ง คิดว่าคงจะอดทนไม่ได้ แต่พอผ่านจุดๆ นั้นมาได้จึงคิดว่าเราน่าจะชอบมันจริงๆ เรารู้สึกแฮปปี้และภูมิใจกับเมนูของเรามาก แต่พอเอาเข้าจริงขนมหวานกลับไม่ใช่สิ่งที่เราถนัดมากที่สุด กลายเป็นถนัดของคาว เพราะมันไม่มีอะไรตายตัวเหมือนกับขนมหวานที่เมื่อเราผสมทุกอย่างแล้ว รออบส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องลุ้นอย่างเดียวเลย
คว้ารางวัล MasterChef All Stars Thailand
ในที่สุดเป่าเป้ก็สามารถคว้ารางวัล MasterChef All Stars Thailand ได้สำเร็จ จากการมุ่งมั่นและฝึกฝนการทำอาหารอย่างหนัก เธอบอกว่าการทำให้ตัวเองพัฒนาคือกลับไปย้อนดูการแข่งขันในมาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์ ซีซั่น 3 ตั้งแต่ EP. แรกจนจบ และยอมรับในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น จากนั้นเปลี่ยนมุมมองในการทำอาหารให้รู้สึกสนุกกับการทำอาหาร และคิดว่าการแข่งขันครั้งใหม่นี้เธอแค่มาโชว์ฝีมือเท่านั้น “พอเปลี่ยนมุมมองในการทำอาหารปรากฏว่าผลลัพธ์ออกมาดี จากซีซั่น 3 ที่เราเครียดและไม่มั่นใจ ดูไม่มีเสน่ห์ในการทำอาหาร คนดูดูไม่มั่นใจเรา เป็นเพราะอะไร ทั้งๆ ที่เราก็มีความรู้นะ เรียนมาเยอะนะ เราอาจะไม่ได้ฝึกมือ ไม่ค่อยได้เข้าครัว เพราะไปทำธุรกิจที่บ้าน หลังจากนั้นปรับวิธีคิดเลยค่ะ เอ็นจอยกับโม เมนท์ในการทำอาหาร ไม่เครียด ไม่กดดัน ในซีซันที่ 3 เรากดดันเกินไป ถ้าเรามั่นใจเกินไปคนดูก็จะหาว่าเรามั่นหน้าอะไรต่างๆ คือคิดเยอะมาก แต่หลังจากที่เรากลับมา ใน MasterChef All Stars เราโฟกัสอย่างเดียวคือ การทำอาหารทำจะอย่างไรให้มันดูดี จะทำอย่างไรเพื่อให้เราต่อยอดธุรกิจ และทำให้คนดูรู้สึกว่าที่หายไปเราไปพัฒนาตัวเองนะ เพราะหลังจากนั้นเราตั้งใจกับการทำอาหารเยอะมากๆ คิดว่าการเป็นเชฟคือส่วนหนึ่งของเป้ กลายเป็นว่าเมื่อได้มาแข่งในมาสเตอร์เชฟออลสตาร์ทำให้เราดูเป็นคนละคน ใช้ความสามารถของตัวเองไปสร้างความสุขให้กับคนรอบข้างได้
เอ็นจอยกับการแข่ง
อย่าไปคิดว่าเรามีแค่ 60 นาทีแล้วจะทำอะไร แต่ต้องโฟกันว่าเรามีตั้ง 60 นาที เราจะทำอะไร อยู่ๆ มันเปลี่ยนเลยนะคะ เครียดเหมือนเดิมแต่เราเอ็นจอยมากขึ้น พอกรรมการบอกเริ่มเราก็แค่อยากทำจานนี้ ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องยังไง ทุกคนเก่งหมด เราตกรอบไม่ได้แปลว่าเราไม่เก่งแค่วันนี้เราพลาด แค่คิดว่าเราไปโชว์ฝีมือ มันเลยไปต่อได้เรื่อยๆ ไม่ได้คิดว่าจะต้องชนะ คนเข้าแข่งขันก็มีความอยากชนะอยู่แล้วแต่ไม่คิดว่าจะชนะ คิดว่าทุกครั้งอยากมีผลงานโดดเด่นสักครั้ง ได้จานที่ดีที่สุดเยอะขึ้น เป็นกัปตันทีม มีลิสต์รายชื่อในตัวเต็ง รู้สึกว่าพอเปลี่ยนมุมมองในการทำ ผลมันก็ดีมากขึ้น สิ่งที่ได้จากการชนะครั้งนี้เป้รู้สึกว่า คือสิ่งที่เป้ทำถูกต้องที่สุด เป้ยอมรับในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในซีซัน 3 จริงๆ มันยากมากเลยนะคะที่ต้องกลับไปดูคลิปตัวเองแข่งตั้งแต่แรกจนจบ มีร้องไห้ ดูแล้วงงมาก ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ และการที่เรายอมรับมันทำให้ออลสตาร์ดูเป็นคนละคน เราดูมั่นใจกับจานอาหารที่เราทำ
คิดเมนูออกได้ยังไง
ด้วยความที่เราไม่รู้โจทย์ เราต้องเตรียมทั้งคาวและหวาน ไปรู้เอาหน้างาน เพราะก่อนที่จะแข่ง วันนี้เราคิดว่าไม่ว่าจะยังไงเราก็จะเอาเมนูนี้มาดัดแปลง สมมติว่าคิดไว้เป็นพานนาคอตตาไม่ว่าจะเจอหมู ไก่ กบ เป้ก็จะทำพานาคอตตา นอกจากว่าไม่มีนมจริงๆ เราจะทำอะไร พยายามปรับทุกอย่าง เป้คิดว่าเอกลักษณ์ในการทำอาหารของเป้เราเป็นคนที่ถ้าได้โจทย์คาว เป้จะทำหวาน แต่ถ้าได้โจทย์หวานเป้จะทำคาว เพื่อให้ดูสรางสรรค์ ไม่งั้นก็เป็นคาวหวานผสมกัน ทำการบ้านโดยการเตรียมเมนูในมอง ดูยูทูปบ่อยๆ หาข้อมูลเยอะ ก็รู้สึกว่าต้องได้แหละ พอไปแข่งก็คิดออกเองเลยแต่ไม่ได้คิดออกในตอนนั้น มันค่อยๆ มา ไม่มีคนไหนที่เปิดกล่องมาแล้วรู้เลยว่าจะทำอะไร เพราะมันยากมาก ผสมผสานของที่ไม่เข้ากันให้เข้ากัน ทำไปคิดไป กดดันมาก
Gordon Ramsay คือเชฟในดวงใจ
รู้สึกว่าเขาทำอาหารโดดเด่นเยอะ เป็นเชฟที่บอกเทคนิคแล้วนำไปใช้ได้จริง เพราะบางอย่างในยูทูปก็ทำไม่ได้จริง แต่ของเขาฟังครั้งเดียวเอาไปลองใช้ทั้งที่เราไม่เคยใช้มันเวิร์คจริงๆ เขาเป็นมิชลินเชฟ มีชื่อเสียงโด่งดังมีเทคนิคสกิลเยอะ แต่สุดท้ายเขาทำให้คนที่ไม่เคยทำอาหารหรือทำอาหารแบบง่ายๆ สามารถทำตามเขาได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นไอดอล เพราะเราเคยเป็นคนที่ทำอาหารไม่เป็นมาก่อนก็จะเกิดข้อสงสัยเต็มไปหมด
ควรเริ่มต้นจากเมนูง่ายๆ ก่อน
เป้เคยเป็นคนหนึ่งที่ทำอาหารไม่เป็น จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนหันมาสนใจการทำอาหาร เขาจะต้องรู้สึกว่าทำได้และต้องสร้างความภาคภูมิใจให้กับเขา เมนูนี้เป็นเมนูที่ง่ายและมีวัตถุดิบน้อยมาก หาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ต หลายคนคิดว่าการทำขนมยุ่งยาก แต่เมนูนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีให้กับคนที่อยากเริ่มต้นทำขนม ขั้นตอนไม่ซับซ้อน เป้ว่าหลายคนคงคุ้นเคยหรือเคยทานเมนูนี้กันอยู่แล้ว เลยเลือกเมนูนี้ ทำง่ายและผลงานออกมาคืออร่อย เป็นกำลังใจให้กับคนที่เปิดดูเห็นภาพน่ากิน อยากลุกขึ้นมาทำ ของในครัวก็มี ไม่มีเตาอบก็ทำได้ จะทำทานเองหรือมอบให้คนที่เรารักในช่วงเทศกาลก็ได้ค่ะ
ส่วนผสมพานนาคอตตา
นมสด 200 มิลลิลิตร
วิปปิงครีม 100 มิลลิลิตร
เจลาตินแผ่น 3 แผ่น
น้ำตาลทราย 50 กรัม
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
ส่วนผสมซอสสตรอว์เบอร์รี
สตรอว์เบอร์รี 150 กรัม
น้ำตาลไอซิง 50 กรัม
น้ำเปล่า 20 กรัม
วิธีทำพานนาคอตตา
1. เทนมสดและวิปปิงครีมในหม้อตั้งไฟ
2. ใส่น้ำตาลทราย
3. ใส่กลิ่นวานิลลา
4. รอเดือด ใส่แผ่นเจลาตินที่นำไปแช่ในน้ำเย็นแล้วลงไปแล้วคนให้เข้ากันจนเจลาตินละลาย
5. เทใส่พิมพ์หรือแก้ว พักไว้ให้คลายร้อน แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นจนเซ็ตตัว
วิธีทำซอสสตรอว์เบอร์รี
1. หั่นสตรอว์เบอร์รีสดใส่ลงในหม้อ
2. เติมน้ำเปล่าเพื่อไม่ให้ไหม้
3. เติมน้ำตาลไอซิงแล้วคนให้เข้ากัน ต้มจนสตรอว์เบอร์รีเปื่อย
4. เทใส่กระชอนกรองเอาแต่น้ำ
5. พักไว้ให้เย็นก่อนราดลงบนพานนาคอตตาที่เซ็ตตัวแล้ว ตกแต่งด้วยผลสตรอว์เบอร์รีสด