Erban โต๊ะปรับระดับ ที่เข้าใจคนทำงานโดยเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์แบรนด์คนไทย

Erban ดีไซน์ โต๊ะปรับระดับ ที่เข้าใจทำงาน จากปัญหาที่พบเจอด้วยตัวเองสู่การค้นคว้าและสัมภาษณ์มนุษย์ทำงานมาอย่างมากมายตั้งแต่ต้นปีเพื่อหาทางออกให้วิถีปวดหลังของคนทำงาน คุณกัลยกร ประสาทอาภรณ์ และคุณกรณัฏฐ์ คู่ณัฏฐการณ์ คนรักงานที่เข้าใจคนทำงาน เริ่มต้นการทำแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ประสบปัญหาออฟฟิศซินโดรมพร้อมรับมือกับไลฟ์สไตล์คนเมือง ยิ่งได้ลงมือทำและรับฟังทุกปัญหายิ่งค้นพบว่าเส้นทางแบรนด์ยังสามารถแตกแขนงและพัฒนาผลลัพธ์ไปได้อีกไกล

ความเป็น Erban

“ชื่อแบรนด์ Erban มาจากคำว่า Ergonomic ผนวกกับ Urban เพื่อสื่อถึง Ergonomic Design for Urban Lifestyle นำเสนอเกี่ยวกับโปรดักต์อะไรก็ได้ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนทำงาน แรกเริ่มเราตั้งโจทย์สไตล์ของ Erban ไว้ว่าต้องไม่ดูเหมือนของใช้ในออฟฟิศทั่วไป แต่จะเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสวยที่ช่วยตกแต่งห้องแม้ในยามไม่ได้ใช้งาน เป็นความลงตัวของ Industrial และ Craftmanship ที่ผสมผสานทั้งเหล็กและงานไม้ไว้ด้วยกันเพื่อการใช้งานที่คงทนและสวยงามไปในตัว”

ปัญหาปวดหลังของคนรักงาน

“เพราะเป็นคน Workaholic ที่ใช้เวลาทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวันทั้งในออฟฟิศและบ้านในเวลาหลังเลิกงาน ทำให้เริ่มมีอาการปวดหลังและคอที่ประสบปัญหามาตั้งแต่สมัยเรียน จึงพยายามหาแกดเจตมาใช้เสมอไม่ว่าจะช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง หรือ Productivity ในการทำงานเพื่อที่จะโฟกัสและครีเอทีฟมากขึ้น ทุกครั้งที่ออกไปทำงานนอกบ้านจึงต้องมองหาโต๊ะสูงเพื่อที่จะยืนทำงาน เพราะค้นพบว่าช่วยให้จดจ่อกับงานได้นานกว่า หรือหากนั่งทำงานไปนานๆ จนรู้สึกเมื่อย การลุกขึ้นยืนจะช่วยคลายความเมื่อย จนคุ้นชินกับการยืนทำงานไปแล้ว”

คนเราไม่สามารถนั่งหน้าคอมฯ ได้ตลอด 8 ชั่วโมง

“ตอนเริ่มทำแบรนด์ Erban จากปัญหาที่พบเจอด้วยตัวเอง เรารีเสิร์ชมาก่อนว่าจริงๆ แล้วที่เราชินกับการยืนทำงานนั้นมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับหรือไม่ว่าทำไมเราถึงรู้สึกว่าการยืนทำงานมันดีกว่า ผลลัพธ์คือนอกจากเรื่อง Ergonomic ที่เราจะรู้ตัวเกี่ยวกับท่าทางในการทำงานมากขึ้น และมีประโยชน์ทางอ้อมที่ช่วยปรับการเคลื่อนไหวของร่างกายตัวเอง เพราะไม่มีทางที่คนเราจะนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ทำงานได้ตลอด 8 ชั่วโมง สมมุติถ้าร่างกายเปลี่ยนท่าทางบ้าง สมองเราจะสามารถคิดสิ่งใหม่ๆ และครีเอทีฟมากขึ้นได้ เป็นที่มาของเฟอร์นิเจอร์ที่ตั้งใจไว้ใช้เองในตอนแรก”

ตอบโจทย์เรื่องพื้นที่จำกัด

“หลายคนอาจจะเคยผ่านตากับโต๊ะไฟฟ้าปรับระดับมาแล้วบ้าง แต่ก็มีคนอีกกลุ่มที่ตกแต่งบ้านโดยการใช้เฟอร์นิเจอร์บิลต์อินหรือมีโต๊ะติดกำแพงที่ปรับแต่งมากไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่เพิ่มเข้าไปในห้องได้ด้วยข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ โต๊ะทำงานของ Erban จึงมาในดีไซน์ที่ลงตัวไม่เทอะทะ รวมถึงโปรดักต์อื่นที่ไม่เจาะจงไว้แค่โต๊ะหรือเก้าอี้ แต่เป็นอะไรที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองและคนทำงาน โดยเน้นเรื่องความเป็นงานคราฟต์ที่สวยงามชวนมองมากขึ้น เช่น ที่วางอุปกรณ์ในรูปลักษณ์งานไม้ เพราะเราเชื่อว่าคนที่ชอบแต่งบ้านแต่งห้องถ้ามีพื้นที่ทำงานสวยๆ ก็ยิ่งทำให้อยากทำงานและมีความสุขกับสภาพแวดล้อมที่สวยงาม”

เฟอร์นิเจอร์ที่ Hack ร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น

“โปรดักต์ของเราคือ Standing Converter เป็นชิ้นที่ไว้วางโต๊ะอะไรก็ได้ เพราะคอนเซ็ปต์ของชิ้นนี้คือเปลี่ยนโต๊ะธรรมดาให้เป็นโต๊ะปรับระดับเพื่อการยืนทำงาน เพราะไม่ว่าเราจะเลือกวางบนโต๊ะกินข้าว โต๊ะในห้องนอน หรือเฟอร์นิเจอร์บิลต์อินใดๆ ก็ตาม ก็สามารถทำงานได้ด้วยการปรับระดับให้ตรงกับสรีระของแต่ละบุคคล คนเราสูงไม่เท่ากันและมีท่าทางความถนัดในการทำงานที่แตกต่างกัน

การมีโต๊ะปรับระดับได้จะช่วยให้ทำงานได้คล่องตัวขึ้นและลงตัวกับระดับสายตา หรือหากต้องการเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งมาเป็นยืนก็เพียงบีบด้านข้างโต๊ะเพื่อเปลี่ยนท่าทางไม่ให้นั่งนานเกินไป หรือหากยืนแล้วเมื่อยเกินไปก็กลับมาเป็นนั่งได้อย่างสะดวก ครบครันด้วยช่องวางแกดเจตอื่นๆ พร้อมให้เสียบสายชาร์จทำงานไปได้ด้วย ตอบโจทย์สไตล์การทำงานที่หลากหลายด้วยความกว้างถึง 80 เซนติเมตร เพียงพอให้วางถึง 2 เครื่อง 2 จอ หรือวางเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆ ได้อย่างไม่จำกัด พร้อมที่วางคีย์บอร์ดในตัวที่ใช้เพียงโต๊ะตัวเดียว”

เป้าหมายคือการทำงานอย่างมีความสุข

“เราอยากทำอะไรก็ได้ให้คนมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น ความสุขในแง่นี้คือทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เพราะเราและคนรอบตัวต่างก็เป็น Workaholic คือเรารู้สึกโอเคกับ Work-Life Integration หรือการทำงานที่ผสมผสานไปกับการใช้ชีวิต ไม่ได้ซีเรียสเรื่อง Work-Life Balance ที่จะต้องทำงานและพักให้เท่าๆ กัน เพราะเรามีความสุขกับการทำงาน การได้เจอคน ได้ทำสิ่งที่ตัวเองภูมิใจ เหมือนเราได้ทำในสิ่งที่ชอบ จึงตั้งใจให้แบรนด์ Erban เป็นอีกหนึ่งแรงส่งเสริมและสนับสนุนให้คนรักงานทุกคน

“แน่นอนว่าการทำงานหนักกับความเครียดแทบจะมาด้วยกัน แต่การรู้จุดมุ่งหมายว่าเราทำไปเพื่ออะไร เมื่อถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้เราจะปลดปล่อยจากความเครียดนั้นได้เอง เราจึงบอกตัวเองเสมอว่าถ้าเครียดแปลว่ามาถูกทางแล้วเพื่อเป็นแรงเสียดทานให้เราเติบโตไปเจอสิ่งใหม่ๆ เสมอ”