จากฟาร์มถึงจาน Café on Farm กับเสน่ห์ของวัตถุดิบที่ปลูกด้วยใจ

ในวันที่คาเฟ่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ร้านกาแฟ แต่กลายเป็นแหล่งผลิตอาหารคุณภาพ Café on Farm คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่พิสูจน์ว่าอาหารดีเริ่มต้นที่ต้นทาง คุณปลา-วารีรัตน์ เทพสง่า และคุณบิ๊ก-อัครเดช นาคขำ สองเจ้าของร้านที่ลงมือปลูกผักด้วยตัวเอง คัดสรรวัตถุดิบจากฟาร์มแล้วนำมาสร้างสรรค์เป็นเมนูแสนอร่อยที่ทั้งสดใหม่และดีต่อสุขภาพ เบื้องหลังอาหารทุกจานที่เสิร์ฟจึงมีเรื่องราวและความตั้งใจซ่อนอยู่ในนั้น แล้วอะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้พวกเขาก้าวเข้าสู่เส้นทางของการทำฟาร์ม มาร่วมกันค้นหาเสน่ห์ของคาเฟ่ที่ไม่เหมือนใครแห่งนี้ไปพร้อมๆ กันเลย

ใจบันดาลแรง…สู่คาเฟ่ในฝัน

อดีตคุณบิ๊กเคยทำงานเป็นเทรนเนอร์ดูแลเรื่องการสอนออกกำลังกาย บวกกับคุณปลาที่มีความรักและชื่นชอบการทำอาหารและขนม ทั้งคู่จึงนำสองความชอบมาผสมรวมกันจนเกิดเป็นคาเฟ่สไตล์โฮมมี่ที่เน้นอาหารสุขภาพและวัตถุดิบออร์แกนิก เนรมิตพื้นที่ที่ไม่ใช่เป็นแค่เพียงร้านอาหาร แต่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างความรัก ความฝัน และวิถีชีวิตที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพอย่างแท้จริง

นอกจากคาเฟ่ยังบริหารเนื้อที่กว่า 1 ไร่ให้กลายเป็นแปลงผักขนาดย่อมๆ ปลูกตั้งแต่ผักสวนครัว ผักสลัด เพาะเห็ด เรื่อยไปจนถึงขุดบ่อเลี้ยงกุ้ง เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความสดใหม่ของวัตถุดิบ ถึงแม้เส้นทางของการทำฟาร์มผักในช่วงแรกจะเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรค แต่การเรียนรู้ ศึกษา และทดลองอย่างไม่ย่อท้อก็ทำให้พวกเขามีภูมิคุ้มกันมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ทุกวันนี้พวกเขาสนุกไปกับการทำในสิ่งที่รักอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ

เรียนรู้ เติบโต

แรกเริ่มเดิมทีคุณบิ๊กและคุณปลาไม่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับการปลูกผักเลย กระทั่งพี่สาวมีโอกาสไปเรียนกับอาจารย์ยักษ์ แล้วนำความรู้ที่ได้มาลองทำเอง ในขณะนั้นพวกเขาก็ช่วยกันศึกษาหาวิธีการ ทดลองปลูกและเริ่มจากการปลูกผักกินเองก่อนเปิดร้าน ผ่านการลองผิดลองถูกจนค่อยๆ ลงตัว โดยคุณปลาเน้นย้ำว่าการปลูกผักเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับธรรมชาติ ไม่ใช่ว่าทำครั้งหนึ่งแล้วจะได้ผลดีเสมอไป ทุกฤดูกาล ทุกสภาพอากาศ ล้วนมีปัจจัยที่ต้องปรับตัว จึงต้องสังเกตและแก้ปัญหาไปตามสถานการณ์ จนในที่สุดฟาร์มหลังร้านจึงกลายเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบที่นำมาใช้ทำอาหารจนทุกวันนี้

แนวทางพอเพียง สู่ฟาร์มอินทรีย์

คุณบิ๊กและคุณปลายึดมั่นในทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ 9 ตั้งแต่ต้น ใช้วัตถุดิบที่ปลูกเอง เลี้ยงเอง พัฒนาพื้นที่ฟาร์ม 1 ไร่ไปพร้อมกับร้าน ตั้งแต่ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกจานที่เสิร์ฟในร้านมาจากแหล่งที่พวกเขาควบคุมด้วยตัวเอง

ฟาร์มผักของที่นี่ปลูกแบบอินทรีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ผสมดิน หมักปุ๋ย ทุกขั้นตอนไม่มีการใช้สารเคมี ในส่วนของการดูแลหนอนและแมลงป้องกันด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น การนำพริกมาปั่นผสมน้ำแล้วฉีดพ่น เพื่อไล่หนอนและแมลง เนื่องจากหนอนและแมลงไม่ชอบกลิ่นฉุน รวมถึงการใช้น้ำส้มควันไม้และพืชสมุนไพรต่างๆ โดยต้องหมั่นสังเกตและแก้ไขอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงน้ำที่ใช้รดผักก็ถูกนำมาพักในถังให้ตกตะกอนก่อน แล้วจึงนำมารด เพื่อให้เหมาะสมกับระบบอินทรีย์

ส่วนผักที่ปลูกเน้นไปที่ผักสลัด เช่น กรีนโอ๊ก เรดโอ๊ก บัตเตอร์เฮด มินิคอส และเบบี้คอส ครอบคลุมถึงสมุนไพรอย่างหอม กะเพรา พริก ใบมะกรูด ซึ่งผักสวนครัวใช้เฉพาะทำอาหารภายในร้าน ในขณะที่ผักสลัดนอกจากนำมาประกอบอาหารแล้วยังมีแบ่งจำหน่ายด้วย

เพาะ ปลูก ดูแล

ช่วงแรกของการปลูกผักเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งปัญหาผักไม่โต ศัตรูพืช หนอน แมลง รวมถึงสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นแดดจัดหรือฝนตกหนัก ผักบางชนิดไม่ชอบอากาศร้อน ทำให้ต้องปรับตัวและหาวิธีป้องกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้พวกเขาค่อยๆ เรียนรู้และพัฒนาวิธีดูแลพืชให้เหมาะสมมากขึ้น

กระบวนการเพาะปลูกของที่นี่เริ่มจากการคัดสรรเมล็ดพันธุ์ที่ต้องเป็นอินทรีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นผักที่ได้คุณภาพ จากนั้นนำเมล็ดไปแช่น้ำ 1 วันก่อนนำลงปลูกในถาดเพาะ เมื่อเริ่มโตขึ้นจึงย้ายไปเป็นต้นกล้า หลุมละต้น รอประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนจะนำลงแปลงหลัก

ผักสลัดให้ผลผลิตภายใน 45 วันนับจากวันเพาะเมล็ด โดยช่วงที่ผักมีรสชาติอร่อยที่สุดจะอยู่ในช่วงสัปดาห์แรกหลังเก็บเกี่ยว หลังจาก 55 วันผักจะเริ่มมีรสขมจนไม่สามารถใช้ได้ การเก็บเกี่ยวที่ดีที่สุดคือช่วงเช้ามืด เพราะหากเก็บในช่วงกลางวัน คุณภาพและรสชาติอาจลดลง

ธรรมชาติคือบทเรียนที่ต้องปรับตัว

นอกจากผักสลัด ที่นี่ยังปลูกผักสวนครัวอื่นๆ ซึ่งสามารถปลูกได้อย่างอิสระตลอดทั้งปี ต่างจากผักสลัดที่ต้องดูแลเหมือนเด็กอ่อน ต้องควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม การสร้างโรงเรือนเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนหลายครั้ง เริ่มจากใช้ผ้าใบ แต่พบว่าขาดง่ายและปิดทึบเกินไปจนผักไม่โต เมื่อลองเปลี่ยนเป็นแบบปิดมิดก็กลายเป็นว่าอากาศอบเกินไป สุดท้ายพัฒนาเป็นหลังคาอะคริลิกใสที่ให้แสงแดดส่องถึงแต่ไม่ร้อนเกินไป พร้อมมีที่บังแดดแบบเปิด-ปิดได้เมื่อต้องการ นี่คือผลลัพธ์จากการเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

การให้น้ำก็ต้องปรับตามฤดูกาล ช่วงที่ผักเติบโตได้ดีที่สุดคือฤดูหนาว โดยเฉพาะเดือนธันวาคมและมกราคมที่ทำให้ผักงามเป็นพิเศษ นอกจากการปลูกผัก เรายังเลี้ยงกุ้งและปลาในบ่อ แม้จะเลี้ยงปลาเองแต่ปลาที่ใช้ในร้านส่วนใหญ่รับมาจากชาวบ้านที่เรารู้แหล่งที่มา เพื่อให้ได้ปลาสดใหม่ทุกวัน เนื่องจากเมนูหลักของร้านคือปลาและกุ้ง ทั้งหมดนี้ดำเนินไปตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงที่พวกเขาเรียนรู้และพัฒนาไปพร้อมกับธรรมชาติ

กำไรจากฟาร์มสุข

ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาคุณบิ๊กและคุณปลาพอใจกับสิ่งที่ทำ แม้ว่าการทำฟาร์มและคาเฟ่จะมีต้นทุนสูงทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแล วัตถุดิบ และเมล็ดพันธุ์ แต่พวกเขาเลือกที่จะทำด้วยใจมากกว่ามุ่งหวังผลกำไร เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความสุขและความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อสุขภาพที่ดีให้กับลูกค้า

แม้จะผ่านมาหลายปี ปัญหาก็ยังมีให้เรียนรู้เสมอ เช่น การใช้ดินแบบเดียวกัน แต่บางแปลงกลับเติบโตดี ในขณะที่บางแปลงไม่โต ทำให้เราต้องคอยสังเกตและปรับปรุงตลอดเวลา

คาเฟ่จากหัวใจ สู่วิถีธรรมชาติ

Café on Farm ไม่ใช่แค่คาเฟ่ แต่เป็นพื้นที่ที่รวมความตั้งใจและความรักในสุขภาพและธรรมชาติของคุณบิ๊กและคุณปลาที่สร้างมาจากศูนย์ โดยใช้วัตถุดิบที่ปลูกเอง เลี้ยงเอง และคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ทุกจานที่เสิร์ฟเต็มไปด้วยคุณค่าและความจริงใจ

มุ่งเน้นการทำอาหารโฮมเมดที่หลากหลายตั้งแต่ไทย ไทย-ฟิวชัน ไปจนถึงฝรั่งเศสและอิตาเลียน โดยมีเมนูซิกเนเจอร์ที่ไม่ควรพลาด เช่น ข้าวพล่าสามกรอบออนฟาร์มสูตรพิเศษของคุณแม่

ซุปผักออนฟาร์มและขนมปังกระเทียมโฮมเมด นำผักเหลือมาแปรรูปให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงขนมปังที่ทำจากผัก อุดมไปด้วยกากใยจากกรีนโอ๊ก

อีกเมนูที่พลาดไม่ได้ สลัดเห็ดทอด ซึ่งใช้เห็ดภูฐานที่เพาะเอง

รวมถึงเบเกอรี่และเครื่องดื่มที่ใส่ใจในทุกขั้นตอนการทำ อาทิ Orange Double Layer Cheese Cake  ขายดีด้วยรสชาติความสดชื่นจากส้ม Caramel Coconut Pie พายรสอร่อยได้กลิ่นมะพร้าวในทุกคำ

นอกจากขนมอร่อยๆ รสชาติถูกปากแล้ว เครื่องดื่มก็ทำออกมาได้ดี อย่างเมนู สมูทตีจากผลสตรอว์เบอร์รีสด Strawberry Yogurt และเมนูกาแฟสุขภาพ I am almond เสิร์ฟพร้อมนมอัลมอนด์โฮมเมด และน้ำอัญชันน้ำผึ้งมะนาว ที่ใช้น้ำผึ้งแท้และมะนาวสดจากฟาร์ม

ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้เรียนรู้ ปรับปรุง และเติบโตไปพร้อมกับฟาร์ม แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ทุกปัญหากลับเป็นบทเรียนที่ช่วยให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง เพราะมีเป้าหมายร่วมกันคือ การส่งต่อสุขภาพที่ดีให้กับทุกคนผ่านอาหารที่ดี และแนวคิดการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน Café on Farm จึงเป็นมากกว่าคาเฟ่ แต่เป็นพื้นที่แห่งการแบ่งปัน สุขภาพที่ดี และความสุขจากธรรมชาติ

Café on Farm 35/5 หมู่ที่ 10 ตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
Facebook : Café on farm
Instagram: Cafe_on_farm

wassukon

wassukon

ไม่ได้จบโดยตรงด้านออกแบบ แต่ฝันอยากเป็นสถาปนิกแล้วโลกก็เหวี่ยงให้มาเขียนงานด้านออกแบบเป็นสิบปี ตอนนี้เลยมีโลกส่วนครัวมากกว่าโลกส่วนตัวไปแล้ว