ใครที่ชอบรับประทานพาสต้ากับซอสเพสโต้ของอิตาเลียนทราบกันไหมว่านอกจะมีส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ โหระพา น้ำมันมะกอก สิ่งที่ขาดไม่ได้คือเมล็ดสนนั้นเอง
ต้นสนมีเมล็ดด้วยหรือ? บางคนอาจจะสงสัยว่าแล้วเมล็ดอยู่ตรงไหนล่ะ เคยเห็นแต่เจ้าลูกสนที่เรานิยมใช้ตกแต่งสถานที่ในช่วงคริสต์มาสเท่านั้น ส่วนนี้ถึงจะเรียกว่าลูกสนก็จริงแต่เป็นส่วนที่เรียกว่า Pine Cone ส่วนเมล็ดสนจริงๆนั้น ต้องพลิกดูด้านในหรือด้านใต้ของ pine cone ถึงเห็นเมล็ดสนน้อยๆ แอบอยู่ด้านใน ที่เราจะต้องแงะออกมา แต่เนื่องจากเมล็ดสนจัดอยู่ในกลุ่มถั่วเปลือกแข็งที่เรารู้จักกันในนามของ Nut ที่จะต้องกะเทาะเปลือกก่อน ถึงจะเอาเมล็ดมารับประทานได้

สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ เจ้า Pine Nut หรือ Pine Kernel เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จัก เนื่องจากพบในอาหารหลายประเภท แต่ในยุโรปนั้นพบมานานแล้ว เนื่องจากในการขุดซากเมืองปอมเปอี อิตาลี นักโบราณคดีพบซากของเมล็ดสนฝังอยู่รวมกับอาหารชนิดอื่นๆ ด้วย แต่ไม่ใช่ต้นสนทุกพันธุ์ที่เมล็ดสามารถบริโภคได้นะคะ จะมีบางสายพันธุ์ที่บริโภคเมล็ดได้ เช่น Mexican pinon (Pinus cembroides), the Colorado pinion (P. edulis), the Italian stone pine (P. pinea), and the Chinese nut pine (P. koraiensis)
ต้นสนจะใช้เวลาในการปลูกนานประมาณ 15-25 ปีถึงจะมีเมล็ด และต้องใช้เวลาอีก 7 ปีกว่าเมล็ดสนจะมีคุณภาพดีในด้านขนาด รสชาติ และเนื้อสัมผัส ดังนั้นปลูก 25 ปี + รอ 7 ปี = 32 ปี ถ้าใครคิดจะลองปลูกต้นสนเพื่อกินเมล็ดขอให้เตรียมพร้อมว่า กว่าจะได้กิน (คนปลูก) คงจะแก่แน่นอน

เมล็ดสนเป็นที่นิยมในหลายๆ ท้องถิ่น เลยทำให้บางครั้งเราอาจจะเจอชื่อแปลกๆ เช่น ในอิตาลีนิยมเรียกเมล็ดสนว่า Pinoli แต่ในอเมริกาจะเรียกว่า Pignoli นอกจากนี้ยังมีชื่ออื่นๆ เช่น Pinon nuts / Cedar nuts / Chilgoza หรือ Pinyon pine nuts เป็นต้นถ้าไปดูในซุปเปอร์มาร์เก็ตจะเห็นเมล็ดสนวางขายแบบดิบ ซึ่งรูปทรงของเมล็ดคล้ายกับเมล็ดดอกทานตะวันแต่อ้วนกว่า ยาวประมาณ ½ นิ้วโดยเฉลี่ย และเป็นสีงาช้าง แต่ที่น่าทึ่งคือ การเก็บเกี่ยวเมล็ดสนยังต้องใช้แรงงานคน และทำด้วยมือมากกว่าเครื่องจักร ทำให้ราคาค่อนสูงยิ่งในบ้านเราจะเป็นแบบนำเข้าแล้ว ราคาก็ไต่ขึ้นไปอีก
เมล็ดสนแบบดิบ เนื้อจะนิ่มและมีรสชาติคล้ายเนย คือ มันๆ แต่ถ้าเอาไปอบหรือคั่วให้หอมๆ แล้วรับรองว่ารสชาติจะดีขึ้นแบบ 100% การนำเมล็ดสนมาทำอาหารจะพบมากในอาหารประเภทเนื้อ ปลา ผัก และผลิตภัณฑ์ขนมปังต่างๆ แต่ก็พบเป็นส่วนประกอบอาหารหลายๆ ชนิดอย่างเช่น ซอสเพสโต้ของอิตาเลียน บาคลาวา (Baklava) เป็นต้น
ในการประกอบอาหารประเภทเมดิเตอร์เรเนียนจะพบว่าเมล็ดสนสามารถจับคู่กับวัตถุดิบประเภทลูกเกด และผักสปิแนชได้เข้ากันเป็นอย่างดี หรือจะเอามาโรยหน้าสลัดก็เข้ากันแต่อย่าลืมคั่วหรืออบให้หอมๆ ก่อนเท่านั้นข้อควรระวังในการบริโภค คือ เมล็ดสนจัดอยู่ในตระกูลถั่วเปลือกแข็ง (Nut) ดังนั้นโอกาสที่ผู้รับประทานเมล็ดสนแล้วเกิดอาการแพ้ก็มีบ้าง ดังนั้นใครที่รู้ตัวว่า แพ้กลุ่ม Nut ควรตรวจสอบให้ดีก่อนโดยเมื่อซื้อมาแล้วให้ใส่ภาชนะที่ปิดฝาสนิทกันลมและแสงสว่าง แนะนำให้เก็บในตู้เย็นไปเลยก็ได้ แต่ไม่ควรซื้อมาเยอะ เพราะเก็บนาน คุณภาพอาจจะเสื่อมลง เอาไปประกอบอาหารแล้วอาจจะไม่ค่อยอร่อย


