ไอเดียบ้านสวย เปลี่ยนโรงรถเก่าเป็นบ้านหลังน้อยสวยมาก
เมื่อพื้นที่โรงรถเก่าถูกปรับเปลี่ยนและเนรมิตให้กลายเป็นสเปซที่อยู่อาศัย คุณลูกหนูและคุณแดน เจ้าของบ้าน จึงช่วยกันออกแบบบ้าน ค่อยๆ แต่งและเติมสิ่งที่ต่างคนต่างชอบลงไปจนเกิดเป็นบ้านหลังน้อย มุมสวนสีเขียว และห้องนั่งเล่นเอาต์ดอร์ เป็นบ้านที่แสนอบอุ่นทว่าเรียบง่าย มีชีวิตชีวาด้วยต้นไม้หลากหลายรูปทรงที่ถูกจัดวางไว้ตามมุมต่างๆ บานประตูและหน้าต่างที่คละแบบไม่ซ้ำกันช่วยทำให้บ้านมีเสน่ห์ได้ไม่น้อยเลย
อย่ารอช้าตามเราไปดูไอเดียแต่งบ้านหลังนี้กันดีกว่า
“พื้นที่ตรงนี้คือเป็นบ้าน 2 หลัง ที่หันหลังชนกัน พื้นที่รวมราวๆ 100 ตารางวา ด้านหน้าเป็นบ้านคุณแม่พี่แดน และส่วนนี้เดิมเป็นโรงรถเก่า
หลังจากแต่งงานก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านแม่ด้วยกัน เลยคิดว่าอยากมีสเปซของตัวเอง ก็มาคุยกันว่าจะทำอะไรกับโรงรถนี้ได้บ้าง จึงตัดสินใจทำบ้านหลังเล็กๆ จากโครงสร้างเดิมของโรงรถที่มีความแข็งแรงดีอยู่แล้ว”
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่พี่ลูกหนูเล่าให้ฟังถึงการเปลี่ยนโรงรถให้กลายเป็นสเปซที่อยู่อาศัย
แปลนบ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นเหมือนสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าแคบและมีความลึก
เมื่อเข้ามาจะพบกับตัวบ้านที่อยู่ทางด้านซ้าย มีห้องนั่งเล่นที่ออกแบบแยกออกมาจากตัวบ้าน ต่อเนื่องกันกับมุมสวนที่อยู่ถัดเข้าไปด้านใน เป็นเสมือนห้องรับแขกเอาต์ดอร์ไว้รองรับเพื่อนๆ ที่มักจะแวะเวียนมาที่บ้านเป็นประจำ
มีส่วนของห้องน้ำและห้องครัวเล็กๆ อยู่ทางด้านหลัง
โซฟาหวายดีไซน์แสนเก๋กับห้องนั่งเล่นมุมโปรดของพี่ลูกหนู
“เราแบ่งบ้านออกเป็น 3 ส่วนตามแนวยาวให้ต่อเนื่องกัน
มีห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องทำงาน แล้วออกแบบห้องสำหรับเก็บเสื้อผ้าซึ่งใช้เก็บของได้เยอะกว่าแทนการซื้อตู้เสื้อผ้า จึงกลายเป็นส่วนที่ 4 ของบ้าน
คอนเซ็ปต์การตกแต่งบ้านคือทำให้เกิดเป็นพื้นที่ใหม่จากโครงสร้างเดิม เลือกใช้วัสดุอย่างอิฐ ปูน ไม้ คือเราไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว เลือกจากสิ่งที่ชอบก่อน แล้วพยายามครีเอทจากข้อจัดที่มีให้ตอบโจทย์ทั้งความสวยงามและการใช้งาน
แต่พอทำบ้านเสร็จอาจจะเรียกว่าเป็นลอฟต์ที่มีกลิ่นอายวินเทจก็ได้” พี่ลูกหนูอธิบายการแบ่งพื้นที่และตกแต่งบ้านให้เราฟังเพิ่มเติม
มุมโต๊ะทำงานใกล้หน้าต่างมองออกไปเห็นสวนสีเขียวด้านนอก
กั้นส่วนกับห้องเสื้อผ้าด้วยประตูบานเลื่อนและลวดลายกระเบื้องที่ต่างกัน
มี 2 สิ่งที่เราสังเกตเห็นคือที่นี่เป็นบ้านที่มีตู้หลายแบบ มีต้นไม้แทบจะทุกมุมของบ้าน จนอดไม่ได้ที่จะถามถึงที่มาที่ไป
“อย่างแรกคือเราชอบเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่า บางชิ้นเป็นของที่ตกทอดมาเป็นร้อยๆ ปี เป็นไม้สักเก่า แล้วเราเองก็หาซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่ชอบอยู่เรื่อยๆ บางทีก็ซื้อออนไลน์ ทั้งๆ ที่กับเสื้อผ้าเราช้อปปิ้งออนไลน์น้อยมาก ในบ้านจึงมีตู้หลายแบบ อย่างตู้กาแฟเก่า ตู้บุหรี่ ตู้ยา
ข้อดีของเฟอร์นิเจอร์เก่าคือทำให้บ้านดูซอฟต์ลง ให้ความรู้สึกสบายๆ แต่อบอุ่น อีกอย่างแต่ละตู้ก็มีสเน่ห์ในตัวเอง มีบุคลิกที่ต่างกันไปตามกาจัดวางและของที่โชว์อยู่ข้างใน ที่สำคัญคือไม้พวกนี้เป็นไม้สักเก่าซึ่งจะไม่หดและไม่ขยายแล้ว จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องปลวกด้วย”
“ส่วนพี่แดนเขาก็ชอบงานไม้เหมือนกัน ประตูกับหน้าต่างบางชิ้นตอนไปเจอคือเป็นซากเก่าๆ เลยเขาก็จะคิดและมองภาพออกว่าจะเอาไปแมตช์กับบ้านที่ออกแบบไว้ได้ยังไงบ้าง แล้วก็ซื้อมาให้ช่างขัดและทาสีใหม่ สุดท้ายเราจะได้ประตูไม้สักเก่าบานใหม่มาในราคาที่ไม่แพงเลย
หน้าต่างที่บ้านพี่แดนก็ตั้งใจเลือกให้มีหลากหลายรูปทรง ไม่ใช่แค่ช่วยเติมรายละเอียดให้บ้านดูน่าสนใจ แต่คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานด้วย อย่างตรงห้องทำงานก็เลือกใส่บานกระทุ้ง เพราะเป็นบานกระจกกว้างที่มองออกไปเห็นมุมสวนหน้าบ้านพอดี เวลาที่ไม่เปิดแอร์ก็เปิดได้กว้าง อากาศถ่ายเทสะดวก
ด้านข้างของตัวบ้านก็เลือกเป็นหน้าต่างบานเลื่อนนอกจากสวยแล้วยังช่วยประหยัดพื้นที่ด้วย ส่วนตรงห้องนอนเราอยากใช้เหล็กดัดที่มีอยู่แล้ว ก็เลยให้ช่างทำหน้าต่างบานเกล็ดเพิ่มเข้าไปก็ลงตัวพอดี”
ตู้คละแบบสำหรับใส่ของที่เต็มไปด้วยของสะสมคอลเล็กชันต่างๆ ที่พี่แดนเก็บไว้
“อีกอย่างคือเรา 2 คนชอบต้นไม้ ส่วนใหญ่จะเลือกจากรูปทรงที่ชอบก่อน แล้วศึกษาการดูแล
ซึ่งหลายๆ ต้นก็เป็นต้นไม้ที่ดูแลง่าย อย่างวันว่างๆ เราชอบไปคาเฟ่กัน พอเห็นต้นไม้ชนิดต่างๆ อย่างลิ้นมังกร ไทรใบสัก อะกาเว เราก็ไปหาซื้อมาไว้ที่บ้านบ้าง ซื้อไปซื้อมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมกับต้นไม้ของเดิมที่มีอยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นสวนกลางบ้าน เราก็ช่วยกันเลือกต้นไม้ที่ชอบตรงกันและช่วยกันจัด
ส่วนในบ้านจะเลือกเป็นต้นไม้ที่ฟอกอากาศได้ เป็นพันธุ์ที่ไม่ต้องการแสงแดดมากนัก และเรามองว่าต้นไม้รูปทรงสวยๆ ก็เหมือนกับเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งของบ้านด้วยเหมือนกัน”
หลังจากคุยกันไปได้สักพักพี่ลูกหนูก็ชวนให้เราเดินสำรวจมุมต่างๆ ของบ้าน จากพื้นที่หลังบ้านที่เป็นโรงรถเก่าถูกปรับเปลี่ยนให้มีชีวิตชีวามากขึ้น มีการออกแบบจัดสรรพื้นให้ตรงกับความต้องการ
“ที่เราไม่ได้สร้างบ้านเต็มพื้นที่ เพราะอยากให้มีส่วนที่เชื่อมกับบ้านแม่ได้อยู่ เดินไปมาหากันได้ มีมุมสวนหน้าบ้านให้นั่งเล่น เพราะพี่แดนเขาเป็นเหมือน Center ของเพื่อนๆ แล้วก็ครอบครัว ซึ่งเราใช้พื้นที่หน้าบ้านทำอะไรกินกันบ่อยมาก เป็นที่ที่ทุกคนได้ใช้เวลาด้วยกัน อย่างห้องนั่งเล่นตอนแรกพี่แดนกับน้องชายตั้งใจทำไว้เป็นห้องนอนให้แม่ จะได้ไม่ต้องเดินขึ้น-ลงชั้น 2 แต่แม่ยังไม่ยอมมานอนเลยปรับเป็นห้องนั่งเล่นแทน”
ต้นไม้หลายรูปทรงกับมุมสวนหน้าบ้าน เป็นเหมือนห้องรับแขกเอาต์ดอร์ที่มีเพื่อนๆ และครอบครัวแวะเวียนมานั่งเล่น ทานข้าวด้วยกันเป็นประจำ
นอกจากนี้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ซ่อนอยู่ในการตกแต่งบ้าน
อย่างโซฟาหวายแสนเก๋ในห้องนั่งเล่น มุมโต๊ะทำงานที่ตรงกับหน้าต่างมองออกไปเห็นสวนสีเขียวด้านนอก กระเบื้องของห้องเสื้อผ้าที่ต่างไปจากห้องอื่นที่ช่วยสร้างสีสันให้กับบ้าน หรือจะเป็นตู้โชว์ของสะสมอย่างตุ๊กตาต่างๆ มีชุดผู้พันแซนเดอส์ที่ทำให้เรานึกย้อนวัยเด็ก การเลือกชุดโต๊ะเก้าอี้ที่เข้ากันได้อย่างลงตัว
เราว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างเรื่องราวและสะท้อนความเป็นตัวเองของพี่ลูกหนูและพี่แดนได้เป็นอย่างดี เหมือนอย่างที่พี่ลูกหนูบอกกับเราว่า
ห้องนั่งเล่นที่แยกออกมาจากตัวบ้าน อยู่ใกล้กับสวน มองแล้วเพลินตาสบายใจ
“ตอนแต่งบ้านพอเห็นตู้หรือโต๊ะเราก็มองออกว่าจะเอาอะไรไปไว้ตรงไหนดี เหมือนกับเราเป็นคนชอบแต่งตัว เวลาซื้อเสื้อผ้าก็รู้ว่าจะเอาเสื้อตัวนี้ไปแมตช์กับกางเกงตัวไหน
เพราะนั่นคือตัวเรา บ้านก็เหมือนกัน
จริงๆ เราชอบดูหนังสือแต่งบ้าน ชอบเรื่อง interior design อยู่แล้ว ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ตกแต่งบ้านในแบบที่ชอบจริงๆ เพราะเรายังไม่มีพื้นที่ของตัวเองขนาดนั้น
พอมีพื้นที่ของเราเลยสนุกกับการได้เลือกนู่นนี่นั่น และดีมากๆ ที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ถ้าทำบ้านแล้วชอบไม่เหมือนกันนี่อาจจะตีกันได้เลยนะ (หัวเราะ)”
บานประตูที่พี่แดนนำมาให้ช่างขัดทาสีชุบชีวิตใหม่ และหน้าต่างบานกระทุ้งที่เป็นซิกเนเจอร์อย่างหนึ่งของบ้านหลังนี้
มีคนเคยบอกว่าถ้าเราได้คุยกับคนที่รักในการทำอะไรสักอย่าง มันจะส่งผลให้คนฟังได้รับพลังงานบางอย่างตามไปด้วย
การได้พูดคุยกับพี่ลูกหนูครั้งนี้ทำให้เรารู้สึกอยากแต่งบ้าน บ้านแบบที่เราชอบจริงๆ เห็นมุมสวนบ้านพี่ลูกหนูแล้วอยากตื่นมานั่งจิบกาแฟทุกเช้าเลย
“มีคนบอกว่าบ้านให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคาเฟ่เลย จริงๆ เราไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอารมณ์แบบคาเฟ่เลยนะ แค่แต่งจากสิ่งที่ชอบที่รู้สึกว่ามันคือตัวเราจริงๆ แต่งไปแต่งมากลายเป็นว่าใครมาบ้านก็พูดแบบนี้ทุกคน”