ก่อนหน้านี้เรามีโอกาสได้ไปชิมอาหารอร่อยฝีมือเชฟแบงค์ เจตะสานนท์ กันมาแล้วกับบรรยากาศ Chef’s Table ที่ทั้งอบอุ่นและเป็นกันเอง นอกจากจะได้พูดคุยเรื่องเมนูอาหารต่างๆ ที่เชฟทำในวันนั้นแล้ว เราก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงการออกแบบ Home Culinary Studio แห่งนี้ ทำให้ได้เห็นถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการตกแต่งทั้งเรื่องดีไซน์และฟังก์ชันใช้งาน และแน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะขอนัดหมายกับเชฟแบงค์อีกครั้งเพื่อเก็บไอเดียการออกแบบห้องครัวของเชฟมาฝากทุกคนกันแบบจัดเต็ม
ออกแบบเป็น Open Space สามารถทำอาหารไปพูดคุยกันไปได้
นอกจากอาหารอร่อยจะเยียวยาทุกอย่างแล้ว บอกเลยว่าการได้ออกจากบ้านมาทำงานหลังจากที่ Work Form Home มาเป็นเวลาหลายเดือนก็ทำให้เรารู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจไม่น้อยเลยทีเดียว เราใช้เวลาเดินทางไม่นานนักก็ถึงหมุดหมายที่ปักไว้ เชฟแบงค์และคุณบิวภรรยาของเชฟเปิดประตูรอต้อนรับพวกเราอยู่ก่อนแล้ว หลังจากเอ่ยคำทักทายกันเล็กน้อยเชฟก็ขอตัวเข้าครัวไปเตรียมแป้งสำหรับทำพิซซาไว้ให้พวกเราได้ชิมกัน (เย้) ระหว่างนี้เรานั่งพูดคุยกับคุณบิวถึงคอนเซ็ปต์การออกแบบของ THYME by Skinhead Kitchen ไปพลางๆ
ภายในตกแต่งสไตล์ Cozy Industrial Loft ทั้งดูเท่และอบอุ่น
“เดิมบ้านหลังนี้คุณพ่อคุณแม่อยู่กัน 2 คน พอเรามีครอบครัวมีลูกเลยย้ายกลับมาอยู่กับเขา ประกอบกับคุณแบงค์กำลังมองหาพื้นที่สำหรับทำสตูดิโอของเขาอยู่แล้ว ซึ่งก็อยากทำงานอยู่ใกล้ๆ ลูกด้วย ไม่อยากไปไหนไกล เราเลยใช้พื้นที่สนามข้างบ้านทำเป็นโฮมสตูดิโอนี้ขึ้นมา คอนเซ็ปต์คือเป็นเหมือนครัวในบ้าน ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง สบายๆ โดยเราให้โจทย์กับทาง Gooodlux Design ที่มาช่วยออกแบบว่าอยากให้คนที่มารู้สึกเหมือนมาทานข้าวบ้านเพื่อนมากที่สุด ไม่ต้องเกร็ง นั่งได้นานๆ ไม่ต้องเร่งรีบ สิ่งที่สำคัญคือเราอยากให้ทุกตารางเมตรของที่นี่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด ทำอาหารได้ มีที่นั่งทานอาหาร ปาร์ตี้ ทุกคนสามารถพูดคุย มองเห็นกัน เดินได้โดยรอบ และมีสเปซจัดเก็บของ”
ออกแบบส่วนคุกกิงให้อยู่กลางห้องเสมือนเป็นเวทีการแสดงของเชฟแบงค์
ทอปเคาน์เตอร์เลือกใช้หินแกรนิตโทนสีดำ สวยงาม และทนต่อการใช้งาน
ออกแบบซ่อนถังแก๊สให้ดูเรียบร้อยสวยงาม
“ถ้าถามถึงไอเดียการออกแบบตกแต่งจริงๆ เรามี Reference อยู่ในใจประมาณหนึ่งหรือดูจากใน Pinterest บ้าง บวกกับเรามีประสบการณ์จากการทำบ้านตัวเองมาแล้วหลายที่เลยนำสิ่งต่างๆ มาปรับแล้วคิดว่าเราอยากต่อเติมห้องครัว ห้องทานข้าวให้ออกมาประมาณไหน สไตล์เป็น Cozy Industrial Loft เท่ๆ ดูอบอุ่นๆ และเติมความเป็นตัวของตัวเองเข้าไป อย่างถ้าไปร้านอาหารจะไม่ค่อยเห็นภาพชั้นวางของ(รกๆ) แบบนี้ (คุณบิวหัวเราะ) เรารู้ว่าคนที่มีนิสัยชอบทำอาหารปัญหาคือไม่มีที่เก็บ มีแต่ที่ทำ ส่วนนี้เลยอยากให้สามารถเก็บทุกอย่างไว้บนชั้นได้ เป็นเหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านขายของชำย่อมๆ อยากใช้อะไรอยากได้อะไรเดินมาหยิบได้ง่ายๆ และยังเป็นเหมือน Backdrop ให้ถ่ายรูปได้ด้วย พอเราวางของเยอะๆ ก็ช่วยให้มุมนี้ดูมีเรื่องราว”
กำหนดฟังก์ชันด้านหลังเป็นส่วนล้างและจัดเตรียมวัตถุดิบ
ติดตั้งชั้นวางของติดผนังแทนตู้แขวนช่วยให้ครัวดูโปร่ง
พูดคุยมาถึงตรงนี้คุณบิวก็ชวนเราไปเดินสำรวจมุมต่างๆ ของโฮมสตูดิโอพร้อมเล่าให้เราฟังถึงดีเทลการออกแบบ “คุณแบงค์เป็นคนมีเพื่อนเยอะเราจึงออกแบบเป็น Open Space มีโต๊ะตัวยาวที่สามารถนั่งได้หลายคน และอยู่ไม่ไกลจากส่วนคุกกิงจะได้ทำอาหารไปคุยกันไปได้”
ตู้สูงสามารถจัดเก็บได้เต็มพื้นที่ ดีไซน์หน้าบานให้ต่างกันช่วยเพิ่มลูกเล่นให้ครัวดูมีมิติมากขึ้น
ด้านในสามารถแขวนอุปกรณ์และติดตั้งลิ้นชักที่สามารถดึงออกมาหยิบได้ง่าย
ในส่วนของฟังก์ชันครัวเชฟแบงค์ช่วยคุณบิวอธิบายเพิ่มเติมว่า “เราอยากได้ครัวใหญ่ๆ เน้นพื้นที่ส่วนเตรียม จากประสบการณ์ที่เราทำบ้านมาหลายหลังหลายคนจะเข้าใจว่าพื้นที่ส่วนทำอาหารต้องใหญ่ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ส่วนที่ควรมีพื้นที่เยอะคือส่วนเตรียมและส่วนล้างทำความสะอาด ด้านหลังเราจึงออกแบบให้เป็นเคาน์เตอร์ที่มีตู้ใส่ของ ติดตั้งซิงก์ มีพื้นที่เตรียมอาหาร และเพิ่มพื้นที่ใช้สอยด้วยไอส์แลนด์กลางห้องครัวที่เราออกแบบเอง ด้านล่างเป็นช่องใส่ของอย่างหม้อ กระทะ เขียง มีลิ้นชักที่เปิด-ปิดได้ทั้ง 2 ด้าน ล้างเสร็จวางจากด้านนี้ อีกด้านก็สามารถหยิบใช้งานได้เลย
เพิ่มพื้นที่ใช้งานด้วยไอส์แลนด์เป็นทั้งที่เตรียมและจัดเก็บของ
ส่วนมุมทำอาหารก็จะมีแค่เตาฟู่กับเตาอบ อีกอย่างหนึ่งคือเรามีของเยอะ ทุกที่ทุกมุมต้องเก็บของได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตู้ ลิ้นชัก หรือแม้กระทั่งหน้าบานตู้ที่เปิดออกมาเราก็ดีไซน์ให้แขวนอุปกรณ์ที่ใช้งานบ่อยๆ ได้ ถ้าวันไหนต้องการความเรียบร้อยก็สามารถปิดได้ ส่วนภายในตู้เราก็ออกแบบเป็นลิ้นชักที่ดึงออกมาได้ หยิบของง่าย เช็ดทำความสะอาดได้สะดวก และด้านหลังครัวเรายังมีห้องเก็บของด้วย”
นอกจากเรื่องฟังก์ชันแล้ว คุณบิวยังบอกว่ามู้ดแอนด์โทนก็สำคัญไม่แพ้กัน “เราให้ความสำคัญกับจุดที่ เปรียบเสมือนเวทีการแสดงของเชฟ เป็นแลนด์มาร์กของที่นี่ก็คือสเตชันทำอาหาร ดังนั้นเราจะเลือกใช้วัสดุที่รองรับการใช้งานและมีดีไซน์สวย เช่น สเตนเลส ทอปหินแกรนิต และฮูด ต้องบอกเลยว่าฮูดเราหาดีไซน์แบบนี้อยู่นานเหมือนกันเพราะไม่ได้เป็นฮูดแบบติดผนังที่มีให้เลือกมากกว่า และต้องดูเรื่องการเดินท่อเดินระบบในฝ้าด้วย แต่เราก็แฮปปี้นะเวลามีลูกค้าหรือเพื่อนมาก็จะบอกว่ามุมนี้ถ่ายรูปออกมาสวย”
“มู้ดแอนด์โทนเราชอบความดิบๆ เท่ๆ หนึ่งคือให้ความรู้สึกถึงความเป็นบ้าน สองคือดูไม่ค่อยเลอะเทอะเท่าไร และเราก็พยายามเลือกวัสดุที่ทนต่อการใช้งานมากที่สุด เช่น เลือกใช้พื้นกระเบื้องกับปูนเปลือย ถ้าเป็นลามิเนตหรือไม้วีเนียร์คงต้องระวังหลายอย่าง แต่อันนี้เลอะก็ไม่เป็นไร ดูแลทำความสะอาดง่าย ทั้งยังคุมโทนบรรยากาศให้ดูลอฟต์ๆ” เชฟแบงค์
“ถ้าสังเกตจะเห็นว่าแต่ละผนังจะมีความแตกต่างกัน ส่วนเหนือซิงก์เราอยากได้วัสดุที่สะท้อนแสงเพื่อไม่ให้ดูทึบจนเกินไป หรือผนังมุมตู้สูงเราก็สามารถใช้งานเป็นบอร์ดสำหรับเขียนสูตรอาหาร เมนูต่างๆ ได้ เพราะนอกจากที่นี่จะเป็น Chef’s Table แล้วยังเป็นสตูดิโอสอนทำอาหารด้วย นอกจากนี้เราเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ทั้งของเก่าของใหม่ผสมผสานกัน ของบางอย่างมือหนึ่งราคาสูงมากๆ ก็คิดว่าอาจจะไม่จำเป็น เช่น เตานี้ก็เป็นเตาเก่าของโรงแรม ตอนเราไปซื้อก็ให้ลุงคนขายช่วยทำให้ใหม่ ต่อท่อต่างๆ ใช้งานได้ดีเหมือนเตาใหม่เลย”
เพิ่มที่จัดเก็บในครัวด้วยช่องและลิ้นชักใต้เคาน์เตอร์
จริงๆ เราอยากได้เตาดีไซน์สวยแบบเตาที่ใช้ในบ้าน แต่ว่าความแรงของเตาบ้านไม่พอสำหรับการทำอาหารของเรา พอดีคุณบิวไปเจอเตาตัวนี้และขอให้เขาช่วยทำให้ไฟแรงๆ เขาก็ทำให้เรา เลยได้เตานี้มาตอบโจทย์ลงตัวกับการใช้งาน ด้านล่างก็จะมีช่องสำหรับใส่ถังแก๊สซ่อนเอาไว้ให้ดูเรียบร้อย อย่างที่คุณบิวเล่าให้ฟังคือเรามีประสบการณ์จากการทำครัวในบ้านมาก่อน อะไรที่ใช้งานไม่สะดวกเราก็ปรับให้ดีให้ลงตัวกับโฮมสตูดิโอนี้เพื่อให้เพอร์เฟกต์ที่สุดในแบบที่เราต้องการ” เชฟแบงค์กล่าวเสริมทิ้งท้ายขณะที่กำลังนำพิซซาออกจากเตาอบ กลิ่นหอมชวนหิวสุดๆ ไม่ว่ากันนะคะถ้าเราจะขอตัวไปทานพิซซาฝีมือเชฟแบงค์ก่อน
สำหรับใครที่อยากมาสัมผัสบรรยากาศและทานอาหารอร่อยๆ สามารถจองล่วงหน้า 3 วันหรือสอบถามรายละเอียดได้ทาง Line @skinheadkitchen หรือโทร. 09 3989 7956 (ขั้นต่ำ 6 ท่าน) ราคาเริ่มต้น 1,500-4,500 บาท เลือกได้ทั้งแบบ Family Feast และ Fine Dining 6 คอร์ส