Wunderkammer คาแรกเตอร์งานคราฟต์ในแบบตุ้ยกับมี่
เรามีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คนเราเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างจากความชอบของตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้มักจะออกมาดีเสมอ ที่สำคัญคือมีความสุขซ่อนตัวอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งการได้พูดคุยกับตุ้ย-ภาคภูมิ นรังศิยา และมี่-วาสิทธิ์ จินดาพร ช่วยทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าสิ่งที่เชื่อมันเป็นแบบนั้นจริงๆ เพียงแต่เราทุกคนต้องลงมือทำอย่างตั้งใจ ใส่ใจ และรักในสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้เองผลงานของ Wunderkammer ทุกชิ้นจึงออกมามีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร
ภาพแรกที่เราเห็นเมื่อถึงสถานที่นัดหมาย บ้านหลังสีขาวขนาดกะทัดรัด มีรถตู้สีเหลืองน่ารักจอดอยู่หน้าบ้าน ที่จอดรถในบ้านถูกเปลี่ยนเป็นมุมสำหรับเก็บอุปกรณ์สำหรับงานไม้ และพื้นที่ข้างบ้านสำหรับปั้นงานเซรามิก มีสวนเล็กๆ ดูร่มรื่นกับโต๊ะหินอ่อนไว้นั่งเล่น มีลมพัดเย็นๆ วันนี้อากาศไม่ร้อนเท่าไหร่นัก
“สวัสดีครับ ทำตัวตามสบายเลย อยากได้อะไรก็บอกนะครับ”
“สวัสดีค่ะ รบกวนเซ็ตต้นไม้ใส่กระถางให้พี่ตากล้องเก็บภาพได้มั้ยคะ”
“ได้เลยครับ” ตุ้ย เดินไปหยิบอุปกรณ์กับต้นแคตตัส แล้วค่อยๆ บรรจงปลูกใส่กระถางทีละต้น ระหว่างนี้บทสนทนาเปื้อนยิ้มของเราก็เริ่มต้นขึ้น (อีกครั้ง)
ทักทายทำความรู้จัก
ตุ้ย : “ผมเป็นแฟนกับผู้ชายคนนั้น เขาชื่อมี่ครับ” (หัวเราะ ไม่จริงครับผมล้อเล่น) ผมชอบวาดภาพตั้งแต่เด็กๆ ไปประกวดวาดภาพ เลยมาทางด้านนี้ไม่เคยคิดจะไปเรียนอย่างอื่นเลยนอกจากศิลปะ ตอนเรียน ม.ต้น เราก็ยังไม่รู้จักคณะที่เกี่ยวกับศิลปะมากนัก รู้อยู่แค่ 2 อย่างคือสถาปัตยกรรมกับจิตรกรรม แต่พอเริ่มไปติววาดภาพอย่างจริงจัง ผมก็เริ่มรู้จักคณะอื่นๆ รวมถึงคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งส่วนใหญ่คนที่จะเรียนออกแบบตอนนั้นทุกคนก็ต้องเลือกคณะนี้ เราก็มุ่งมั่นจนสอบได้ โดยเลือกเรียนเกี่ยวกับเซรามิก
มี่ : ผมก็คงจะคล้ายๆ กันคือชอบวาดภาพตั้งแต่เด็กๆ เลยอยากเรียนคณะที่สามารถเอาการวาดรูปมาใช้และทำงานได้ในอนาคต ตอนนั้นรู้จักคณะมัณฑนศิลป์ ซึ่งเป็นคณะที่เกี่ยวกับงานออกแบบ วาดภาพ มีการเอาศิลปะมาประยุกต์ใช้ เราก็สนใจเลยสอบเข้ามาเรียนทางด้านประยุกตศิลปศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากรเหมือนกัน
ว่าด้วยเรื่องของ Wunderkammer
มี่ : เริ่มจากตอนปี 3 เราจัดงานที่คณะกันเอง 2 คน คล้ายๆ กับงานคอนเสิร์ต ช่วยเพื่อนๆ มาออกบูทขายของ เลยมาคุยกันว่าไหนๆ ก็จัดงานขึ้นมาและมีพื้นที่ขายของ ถ้าอย่างนั้นเรามาทำของขายกันดีกว่า ตอนนั้นก็คิดแค่ทำสนุกๆ ด้วยความที่ชอบปลูกต้นไม้ทั้งคู่ ไอเดียแรกเลยลองทำกระถางต้นไม้ แล้วงานเซรามิกเป็นอะไรที่เราถนัดกันอยู่แล้ว
ตุ้ย : งานที่จัดมีทั้งหมด 2 วัน ซึ่งผมกับมี่ก็ยุ่งเพราะเป็นเฮดด้วยกันทั้งคู่ งานเริ่ม 5 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน เราได้มาตั้งร้านตอน 4 ทุ่มของวันสุดท้าย ขายดีจนเกือบหมด แล้วพอดีพี่ชารีย์ เจ้าของฟาร์มไส้เดือน เขาสนิทกับผมมาเห็นเลยถามว่าอยากไปขายที่งานบ้านและสวนหรือเปล่า เขาจะแบ่งพื้นที่บูทให้ไม่ต้องเสียเงิน เลยลองไปขาย ซึ่งตอนนั้นรู้สึกว่าขายดีมาก มีคนสนใจค่อนข้างเยอะ แต่พอจบจากงานครั้งนั้นก็หายกันไปช่วงหนึ่ง เพราะขึ้นปี 4 ต่างคนต่างทำงานจบของตัวเอง จนใกล้เรียนจบก็มาคุยกันอีกทีว่าจะทำต่อมั้ย ซึ่งเราก็เห็นตรงกันว่ามันน่าจะไปต่อ เพราะจะได้ไม่ต้องไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่ตรงกับที่เราเรียนมา
มี่ : ส่วนชื่อแบรนด์ตอนแรกใช้ Pinocchio Wood Clay ตอนนั้นไม่ได้มีเหตุผลอะไรมาก แค่เราชอบ เวลาเอาฟอนต์มาเรียงกันแล้วมันลงตัวเลยใช้ชื่อนั้นไปก่อน บวกกับตอนนั้นเราเริ่มทำกันสนุกๆ แต่พอตอนนี้เริ่มจริงจัง ก็เลยคิดว่าควรมีที่มาที่ไป เลยเปลี่ยนเป็น “Wunderkammer” ความหมายก็ประมาณว่าเหมือนเป็นห้องสะสมของแปลก เป็นตู้โชว์ที่เอาไว้สะสมของที่เราชอบ
ตุ้ย : เรื่องของดีไซน์และคอนเซ็ปต์ ผมอยากให้คนนึกถึงความแปลก สิ่งที่ต่างจากกระถางต้นไม้แบบเดิมๆ ที่เคยมี ผมเรียนเซรามิก ส่วนมี่เรียนประยุกตศิลป์ เลยเอาวัสดุอย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นงานเหล็กหรืองานไม้มามิกซ์กับงานเซรามิก ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำกันเพราะมีความยุ่งยาก เราก็ช่วยกันออกแบบ ค่อยๆ ปรับกันมาเรื่อยๆ จนได้งานแต่ละชิ้นออกมา
นอกจากกระถางต้นไม้แล้ว เราก็มีงานอย่างอื่นด้วยอย่างโคมไฟ หรือเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ ซึ่งมี่จะถนัดด้านงานไม้ก็ช่วยกันออกแบบ อยากให้แบรนด์เราเป็นเหมือนของแต่งบ้านสำหรับคนที่นึกอะไรไม่ออก แต่พอเห็นงานเราแล้วเกิดไอเดีย ดีไซน์ออกมาให้ตรงกับคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ สร้างคาแรกเตอร์ให้งานแต่ละชิ้นจากความชอบ ทำให้การทำงานของเรามีความสุขและสนุกไปกับมัน
มี่ : งานของเรามีลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ต่างจากกระถางต้นไม้ทั่วไป คิดและออกแบบกันเองในสไตล์ที่เป็นผมกับตุ้ย เสน่ห์น่าจะมาจากเราทำมือ ประกอบเองทุกชิ้น เพราะเราไม่ได้เป็นเซรามิกอย่างเดียวต้องประกอบให้เข้ากับไม้ มานั่งเหลาไม้ให้ขนาดพอดี บางแบบมีแค่ชิ้นเดียว เลยค่อนข้างเป็นงานคราฟต์ งานฝีมือ อย่างตอนนี้เราก็มีคอลเล็กชันพิเศษวางขายอยู่ที่ O.D.S Objects of Desire Store สยามดิสคัฟเวอรี่ เป็นเอ็กซ์คลูซีฟไม่มีวางขายที่อื่น เน้นโทนสีดำดูเท่ๆ แต่คอลเล็กชันอื่นจะดูน่ารักมากกว่า
มาถึงตรงนี้ต้นแคตตัสที่ตุ้ยค่อยๆ ปลูกก็อยู่ในกระถางเรียบร้อย มี่เดินไปหยิบหินแล้วค่อยๆ โรยลงบนดินในกระถางต้นไม้ทีละต้นอย่างใจเย็น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราได้แต่อมยิ้มตลอดช่วงเวลาที่ได้คุยกับตุ้ยและมี่ บางทีอาจเป็นเพราะความสุขของคนที่ได้ทำงานที่ตัวเองรักนั้นซ่อนตัวอยู่ในผลงานทุกชิ้นของ Wunderkammer และถูกส่งต่อมาถึงคนรอบข้างให้มีรอยยิ้มเมื่อได้เห็น ก่อนจะกลับตุ้ยบอกกับเราว่า “เราเริ่มต้นจากความชอบ สนุกที่ได้ทำ ตอนทำแรกๆ คิดแค่ว่าถ้าไม่มีใครซื้อเราก็เก็บไว้ใช้เอง เลยอยากเป็นกำลังใจให้สำหรับคนที่มีฝัน ให้ลงมือทำเลย ไม่ว่าสุดท้ายจะเป็นยังไง”
ใครสนใจสามารถดูผลงานเพิ่มเติมได้ที่ Facebook /wunderkammer.studio
บทความจากคอลัมน์ “Professional” นิตยสาร @Kitchen ฉบับที่ 120 ประจำเดือนสิงหาคม 2559