เมื่อพูดถึงชื่อ “เก๋ ชลลดา (เมฆราตรี) สิริสันต์” หลายคนอาจนึกถึงนางแบบ ดารานักแสดงผู้สง่างาม แต่สำหรับอีกหลายคน เธอคือผู้หญิงอ่อนโยนที่ยืนหยัดเคียงข้างสัตว์จรจัดมายาวนานกว่า 13 ปี ในฐานะผู้ก่อตั้ง มูลนิธิเดอะวอยซ์ (เสียงจากเรา) วันนี้เธอเป็นมากกว่านั้น ทำธุรกิจเกี่ยวกับงานพีอาร์ในชื่อ คอมวัน พีอาร์ และการเป็นยูทูบเบอร์คอนเทนต์ที่ทำด้วยใจล้วนๆ ไม่ได้เริ่มจากคำว่า “ธุรกิจ” เลยด้วยซ้ำ

วันนี้เราอยากชวนทุกคนมานั่งฟังเรื่องเล่าสนุกๆ ของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ใช้ชีวิตด้วยพลังใจมหาศาล กับการไม่เคยหยุดลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องความดีที่เราคุ้นเคยกับภาพของเธอในมุมของการช่วยเหลือสัตว์ แต่ในอีกหลายบทบาทที่เธอค่อยๆ เปิดเผยให้เห็น เธอกำลังบอกเราว่า…การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว และไม่จำเป็นต้องเสียงดัง แค่เลือก “ทำ” อย่างสม่ำเสมอ ก็ส่งต่อแรงบันดาลใจได้มากกว่าที่คิด

กว่า 12 ปีที่ชื่อของ “มูลนิธิเดอะวอยซ์ (เสียงจากเรา)” เป็นที่รู้จักในหมู่คนรักสัตว์ หนึ่งในหัวใจสำคัญเบื้องหลังองค์กรนี้ คือ “เก๋ ชลลดา เมฆราตรี” ผู้หญิงที่ใช้หัวใจนำทางชีวิต “เก๋เริ่มทำมูลนิธิตอนอายุ 32” เธอเล่าย้อนความ “ตอนนั้นใจเก๋อิ่มมาก เราได้รับความรักความเมตตาจากคนไทยมาตลอด จนอยากหาทางขอบคุณสังคมไทยอย่างจริงจัง จนมาตกผลึกที่การช่วยเหลือสัตว์ มูลนิธิเดอะวอยซ์จึงถือกำเนิดขึ้นในยุคที่สังคมไทยยังไม่มีองค์กรช่วยเหลือสัตว์จรจัดที่ขับเคลื่อนโดยคนไทยอย่างแท้จริง “ชื่อมูลนิธิบอกอยู่แล้วว่าเป็นเสียง เพราะสัตว์พูดไม่ได้ เราจึงอยากเป็นตัวแทนให้เสียงนั้น”

แต่เดอะวอยซ์ไม่ใช่แค่มูลนิธิที่ช่วยเหลือสุนัขหรือแมว “เราช่วยทุกสรรพสัตว์” คุณเก๋เน้นย้ำ แม้คนจะเห็นภาพเธออยู่กับสัตว์เลี้ยงมากกว่า แต่เบื้องหลังเธอและทีมงานช่วยเหลือสัตว์ที่ประสบภัยจากน้ำท่วม ไฟไหม้ แม้กระทั่งในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้าใช้
หมวกหลายใบ หัวใจเดียวกัน
แม้ภาพจำของ “เดอะวอยซ์ เสียงจากเรา” มักจะวนเวียนอยู่กับการช่วยเหลือสุนัขและแมวจรจัดในเมืองใหญ่ อย่างกรุงเทพฯ ที่เป็นฐานหลักของมูลนิธิ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พื้นที่แห่งความห่วงใยขององค์กรเล็กๆ แห่งนี้แผ่ขยายไปไกลกว่านั้นมาก

“อย่างตอนที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่เขาใหญ่ เราก็ขึ้นไปช่วยค่ะ ขอใช้แรงกายแรงใจเท่าที่มี” คุณเก๋-ชลลดา เมฆราตรี พูดด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเปี่ยมด้วยพลัง “น้ำท่วมภาคเหนือ ภาคใต้ ถ้ามีเหตุเดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เดอะวอยซ์ก็พร้อมจะลุกขึ้นมาช่วยเสมอ”
ภายใต้ภาพของดารานางแบบชื่อดัง ผู้หญิงคนนี้กำลังใช้ชีวิตอีกด้านในแบบที่เธอเชื่อมั่น หนึ่งในบทบาทที่เธอรักที่สุดคือการเป็นผู้ก่อตั้งและขับเคลื่อนองค์กรจิตอาสาเล็กๆ ที่ใช้หัวใจในการทำงานมากกว่างบประมาณ และไม่เคยหันหลังให้กับเสียงร้องไร้ถ้อยคำของสัตว์ผู้เปราะบาง “ทีมงานของเก๋ทุกคน เก๋คัดเองกับมือ แล้วกล้าพูดได้เลยว่าเราคือองค์กรสีขาวจริงๆ ไม่มีผลประโยชน์ ไม่มีเบื้องหลัง ทุกคนที่มาช่วยทำงานกับเรามีอาชีพหลักกัน เราไม่ได้มีเงินเดือนเป็นแรงจูงใจ ทุกคนใช้หัวใจล้วนๆ”

ความน่าสนใจคือทีมงานเดอะวอยซ์ล้วนเป็นคนธรรมดาที่คุณเก๋บอกว่า “มั่นคงแล้วจึงเลือกที่จะแบ่งปัน” หลายคนทำงานประจำ บางคนเป็นผู้บริหาร บางคนเป็นฟรีแลนซ์มืออาชีพ แต่เมื่อถึงเวลาที่เดอะวอยซ์ต้องการ ทุกคนก็พร้อมจะสวมหมวกอีกใบ แล้วลงมือทำงานเพื่อช่วยเหลือสัตว์อย่างไม่มีข้อแม้ “เก๋เชื่อมากเลยค่ะว่า คนเราควรจะแข็งแรงก่อน แล้วเราจะเป็นผู้ให้ที่ดีได้…คนที่พอมีแล้วควรแบ่งปัน ไม่ใช่แค่เรื่องเงินนะคะ บางครั้งเสียหลายๆ อย่างไป เสียโอกาสสำคัญในการอยู่กับคนรัก คนพิเศษ เวลาส่วนตัว เสียเงินทอง แต่เธอบอกว่า…คุ้มเสมอ” เพราะทุกครั้งที่มีเสียง “ขอบคุณ” จากเจ้าของสัตว์ หรือแม้แต่แววตาของสัตว์ที่ได้รับการช่วยเหลือ มันคือรางวัลของคนที่เต็มใจเป็น “เสียงจากเรา” จริงๆ
บทบาทใหม่ที่ใช้ “หัวใจ” มากกว่า “ภาพลักษณ์”
นอกเหนือจากงานของมูลนิธิเดอะวอยซ์ เสียงจากเรา ที่เธอก่อตั้งเองและลงมือทุกขั้นตอน คุณเก๋ยังมีอีกหนึ่งบทบาทสำคัญที่ไม่ค่อยมีใครรู้ นั่นคือการเป็น แบรนด์แอมบาสเดอร์ของมูลนิธิศุภนิมิตรแห่งประเทศไทย (World Vision Thailand) เธอทำหน้าที่นี้มาได้สองปีแล้ว แต่จริงๆ แล้วเส้นทางกับมูลนิธินี้เริ่มต้นตั้งแต่ 17 ปีก่อนในฐานะ “ผู้สนับสนุนเด็ก” คนหนึ่ง
“ตอนนั้นเราแค่ช่วยเหลือเด็กค่ะ เป็นสปอนเซอร์ให้เขามา 17 ปีแล้ว อยู่ดีๆ พอปีที่ 18 เขาติดต่อมาว่า… อยากให้คุณเก๋มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเราหน่อยได้ไหม” ฟังดูอาจเหมือนบทบาทธรรมดา แต่การที่มูลนิธิระดับโลกส่งคำเชิญอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะในปีที่พวกเขาครบรอบ 48 ปี ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก
“เก๋ยังแซวเขาเลยว่า มูลนิธิอยู่มาตั้ง 48 ปี ไม่เคยมีแบรนด์แอมฯ เลยเหรอคะ เขาก็บอกว่า ไม่เคยเลยค่ะ เราไม่เคยจ้างใครเลยจริงๆ เราอยากได้คนที่เข้าใจเด็ก เข้าใจการทำงาน เข้าใจสิ่งที่เราทำจริงๆ” คำเชิญนั้นไม่มีค่าตอบแทน ไม่มีทีมโปรดักชัน ไม่มีค่าเดินทาง หรือเบี้ยใดๆ ทั้งสิ้น แต่คุณเก๋ตอบรับโดยไม่ลังเล เพราะเธอ เข้าใจอย่างแท้จริง
ยูทูบเบอร์ที่ไม่ได้เกิดจากไวรัล
อีกหนึ่งบทบาทที่เธอรักไม่แพ้กัน คือการเป็น ยูทูบเบอร์ ซึ่งเริ่มต้นจาก “ความว่าง” ในช่วงโควิด แต่เติมเต็มด้วย “คุณค่า” อย่างคาดไม่ถึง “เพื่อนชอบแซวว่าเราเป็นยูทูบเบอร์วัยเกษียณ (หัวเราะ) แต่จริงๆ เก๋เริ่มเพราะอยากใช้ชีวิตให้ Positive แล้วก็อยากช่วยคนให้ได้มากขึ้น”

ช่องยูทูบของเธอไม่ได้เกิดจากการรับรีวิวหรือโปรโมตใดๆ เลยในช่วงแรก แต่เกิดจากความตั้งใจจริง เช่น การพาแฟนๆ ไปเที่ยวปายพร้อมชวน “staycation” เพื่อช่วยเหลือโรงแรมเล็กๆ ที่ขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวช่วงล็อกดาวน์ หรือพาไปร้านอาหารของคนท้องถิ่นที่น่ารักแต่ไม่เป็นที่รู้จัก เบื้องหลังวิดีโอที่ดูเหมือน “ชีวิตดี๊ดี” คือการทำงานแบบ “สร้างโอกาส” ให้คนอื่นเสมอ
“หลังๆ เริ่มมีลูกค้าติดต่อเข้ามาเอง บางคนส่งสินค้า wellness หรืออาหารสัตว์มาให้ เพราะเขามองว่าสินค้าเหมาะกับเรา แล้วเราก็แบ่งไปให้สัตว์ยากไร้ครึ่งหนึ่ง หรือบางอย่างก็บริจาคต่อหมดเลย มันเลยเป็นการทำที่ไม่ใช่แค่ ‘ทำคอนเทนต์’ แต่เป็น ‘ทำบุญ’ ไปด้วย”
เพราะฉะนั้นการทำยูทูบของคุณเก๋จึงไม่ใช่ช่องของดาราที่อวดไลฟ์สไตล์สวยหรู แต่เป็นช่องของ “คนทำงานด้วยใจ” ที่อยากให้สังคมน่าอยู่ขึ้นวันละนิดก็ยังดี
วัยที่ “พอ” อย่างภูมิใจ
“กระเป๋าหนึ่งใบอาจสร้างโรงอาหารได้หนึ่งหลัง ความสุขแบบใหม่จึงไม่ได้อยู่ที่ “ได้ครอบครอง” แต่อยู่ที่ “ได้ให้” “พอเรามาถึงวัยนี้ เราเห็นอะไรมาเยอะค่ะ สิ่งที่เราเคยมีมาแล้ว เราไม่ต้องมีแล้วก็ได้” คุณเก๋ย้อนเล่าถึงช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยเป้าหมาย “สิบข้อก่อนอายุ 35” ตามสูตรสำเร็จที่อ่านมาจากหนังสือเล่มหนึ่งในยุคนั้น
บ้าน คอนโด รถสปอร์ต กระเป๋า นาฬิกา ตอนนั้นมันคือความภูมิใจล้วนๆ นะ ไม่ได้อวดใครเลย แค่รู้สึกว่าเราทำเองได้ เราเป็นผู้หญิงที่เก่ง เป็นคนที่ครอบครัวพึ่งพาได้ ลูกน้องไว้ใจได้ มันคือคาแรกเตอร์ของเราจริงๆ เก๋ก็ Feminize มากๆ ด้วยค่ะ คือผู้ชายทำอะไรได้ เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน แต่เมื่อผ่านการเติบโต ทั้งในชีวิตและในความคิด โดยเฉพาะช่วงโควิดที่โลกทั้งใบชะลอจังหวะ เก๋ได้เห็น “คุณค่า” ของสิ่งที่ต่างออกไป การได้อยู่กับคนที่รัก การได้ยื่นมือไปช่วยใครสักคน การได้เห็นเด็กในชนบทมีโรงอาหารใหม่ ได้เห็นสัตว์ตัวหนึ่งมีบ้าน มีอาหาร และได้รับการรักษา กระเป๋าใบหนึ่งราคาหลายแสน เราเคยมีแล้วเยอะมาก ตอนนี้คิดว่า…หนึ่งใบแบบนั้นสามารถสร้างโรงอาหารให้เด็กได้เลยนะคะ หรือทำให้สัตว์อีกหลายตัวรอดชีวิตได้”

เธอไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนละคน แต่เปลี่ยนจากคนที่เคยสะสม “สิ่งของ” มาสะสม “ความหมาย” แทนสิ่งของสวยงามยังคงมีที่ในหัวใจของเธอ เช่นเดียวกับความงามที่ไม่ได้ต้องเลือกแค่ภายนอกหรือภายใน “ถามว่าเก๋ยังชอบของสวยไหม เก๋ยังชอบอยู่ค่ะ บางครั้งมีคนให้หรือคุณพร้อมซื้อให้เก๋ก็ยังชอบอยู่ (ยิ้ม) แต่ให้ซื้อเองบ่อยๆ แบบเมื่อก่อน…น้อยลงมาก เพราะรู้สึกว่าความสุขอีกแบบมันชัดกว่า มันคือความสุขที่เราได้ให้ แล้วมันอยู่ได้นานมาก” เธอเล่าต่อพร้อมรอยยิ้มว่า “ทุกวันนี้เวลาเพื่อนชวนไปช้อป เก๋ไม่ตื่นเต้นกับคำว่า “ลดราคา” เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วไม่ใช่เพราะเหนื่อย แต่เพราะอิ่ม อิ่มกับสิ่งที่ได้ผ่าน ได้เห็น และได้รู้ว่า…สุดท้ายแล้ว คนเราจะถูกจดจำจาก “สิ่งที่ให้” มากกว่า “สิ่งที่มี”
เมื่อความสุขของเด็กคนหนึ่ง กลายเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
“โรงอาหารหนึ่งหลัง 134,800 บาท กระเป๋าบางใบยังแพงกว่าโรงอาหารอีกนะคะ” คุณเก๋พูดง่ายๆ แบบไม่ต้องคิดหาถ้อยคำหวือหวา แต่กลับกระแทกใจแบบไม่ทันตั้งตัว ล่าสุดเธอไปสร้างโรงอาหารให้เด็กกว่า 200 คนที่บุรีรัมย์ โรงเรียนเดิมนั้นทรุดโทรม จนเด็กไม่มีแม้แต่ที่ทำการบ้าน ไม่ต้องพูดถึงงบประมาณจากรัฐ เพราะแค่จะเข้าคิวก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่เพียงไม่กี่แสนบาท โรงอาหารหลังใหม่ก็เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่แค่หลังคาบังแดดฝน แต่เป็นทั้งพื้นที่กินข้าว ทำการบ้าน และเล่นสนุกในเวลาเดียวกัน

“วันเกิดที่ผ่านมาเก๋บอกเพื่อนเลยว่า ไม่ต้องซื้อของขวัญให้เก๋นะ เอาเงินมาช่วยสร้างโรงอาหารแทนได้ไหม เพื่อนก็ขำ เขาบอกว่าเก๋มาแนวนี้ละ” จากโรงอาหารถึงห้องน้ำหมู่บ้าน จากโซลาร์เซลล์ที่ใช้ในศูนย์เด็กเล็ก
จากแทงก์น้ำขนาดใหญ่ถึงฟาร์มเห็ดเพื่อเลี้ยงชุมชนทุกอย่างดูธรรมดา แต่กลับมีคุณค่าอย่างมหาศาลในชุมชนห่างไกล “ห้องน้ำห้องนึงใช้กันได้ทั้งหมู่บ้านนะคะ โซลาร์เซลล์ชุดหนึ่ง 25,000 บาทเอง บางคนซื้อรองเท้ายังแพงกว่านี้เลย แต่แผงเดียวทำให้เด็กตั้ง 20 กว่าคนมีไฟใช้ได้ทั้งคืน”

สิ่งที่เธอพูดไม่ใช่เพื่อเปรียบเทียบว่าการซื้อของใช้ส่วนตัวเป็นเรื่องไม่ดี แต่เป็นการเปลี่ยนมุมมองของตัวเอง จากผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยสะสมของหรูหรา มาเป็นผู้หญิงที่มอง “ชีวิต” ได้ลึกกว่านั้น “เราเคยคิดว่าเราต้องมีอีก… มีแล้วต้องมีอีกอัน แต่พอมาถึงจุดนี้ เราอิ่มแล้วค่ะ เราอยากแบ่งปัน อยากให้มากกว่า” คุณเก๋เล่าแบบขำๆ ว่าเวลาลงพื้นที่บางแห่ง ไปสร้างห้องน้ำให้ชาวบ้านถึง 11 ห้อง แต่ทุกห้องกลับเขียนชื่อเธอไว้หมดจนต้องขอร้องให้ลบออก “เขียนชื่อเก๋ไว้ทุกห้องเลยค่ะ เขินมาก (หัวเราะ) บอกเขาว่าไม่ต้องค่ะ แค่เขามีห้องน้ำใช้ เก๋ก็ดีใจแล้ว”
ความสุขที่เสพติด ไม่ใช่จากการได้ แต่จากการ “ให้”
“คุณพร้อมเพิ่งเข้าใจเก๋เลยค่ะ เขาบอกว่าเก๋เป็นคนเสพติดความสุขจากรอยยิ้มของเด็ก” เธอเล่าถึง ทริปล่าสุดที่ขุนยวมและอมก๋อยในน้ำเสียงที่ทั้งสดใสและอบอุ่น พวกเขาขนของไปกว่า 200 ชิ้น แต่เด็กมาแค่ 135 คน เก๋พยายามจะให้เพิ่ม แต่เด็กๆ กลับบอกว่า “ไม่เอาแล้ว เอาไปให้หมู่บ้านข้างๆ สิ” คำพูดเรียบง่ายจากปากเด็ก 4 ขวบ กลับสะกิดใจผู้ใหญ่ทั้งคณะจนบางคนถึงกับน้ำตารื้น “เด็กพวกนี้เขาลำบากมาก แต่เขาไม่มีความทุกข์เลย เขามีความสุขจากสิ่งที่มี ถึงขั้นบ้านไม่มีไฟฟ้าต้องจุดเทียนอ่านหนังสือ แต่ก็ยังยิ้มได้ แล้วเราจะไปอยากได้อะไรมากกว่านี้อีกเหรอคะ” คุณเก๋เล่าว่าเธอเองต่างหากที่ “ได้” กลับมามากกว่าเธอไป “ให้” แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความสงบ ความอ่อนน้อม และการปล่อยวาง
“เราไปถามเด็กคนหนึ่งว่า คุณพ่ออยู่ไหน เขาบอกว่า ‘คุณพ่อไปสวรรค์แล้วค่ะ’ เพราะตกเขาตอนเก็บสตรอว์เบอร์รี เด็กเล่าแบบนิ่งมาก เราเป็นผู้ใหญ่ยังพูดไม่ออก แต่เขาบอกว่า ‘ไม่เป็นไรค่ะ หนูอยู่กับคุณยาย หนูช่วยคุณยายกวาดบ้าน’ มันสะเทือนใจมากเลยนะคะ”
เพราะการให้…จึง “พอ” อย่างเต็มหัวใจ
ในยุคที่โลกยังวิ่งเร็วเหมือนเดิม คุรเก๋เลือกจะค่อยๆ ก้าว เดินให้ช้าลงเพื่อมองให้ลึกขึ้น เธอยังชอบของสวยงาม ยังรักแฟชั่น ยังเป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “ใจ” ที่อิ่มกว่าเดิมมาก “เราเคยตามหาความสำเร็จจากของ แต่ตอนนี้เราวัดความสำเร็จจากรอยยิ้มของเด็ก จากน้ำสะอาดที่คนได้ใช้ จากโรงอาหารที่มีหลังคา จากพัดลมตัวเดียวที่หมุนอยู่ในห้องเรียนไม้ผุๆ… แค่นี้ก็สุขใจมากแล้วค่ะ”

บทสนทนากับคุณเก๋ ชลลดาในวันนี้ ไม่ได้ทำให้เรารู้จักเธอมากขึ้นเท่านั้น แต่ทำให้เรารู้จัก “ความงามของการให้” ในมิติที่ลึกกว่าที่เคย ท่ามกลางยุคที่ชื่อเสียงมักถูกใช้เพื่อเปล่งเสียงของตน เธอเลือกจะใช้มันเพื่อเปล่งเสียงของผู้อื่น เสียงที่เบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน เสียงของเด็กไร้โอกาส สัตว์ไร้บ้าน หรือแม้แต่ผู้คนที่ไม่มีแม้คำจะเปล่ง เธอไม่รอเวลา ไม่รอใครเริ่มก่อน แต่ลุกขึ้น “ทำ” อย่างเงียบๆ ทำด้วยมือ ด้วยหัวใจ และด้วยความเชื่อเรียบง่ายว่า…“ความเมตตาเล็ก ๆ ก็เปลี่ยนโลกใบหนึ่งได้” เธอไม่จำเป็นต้องเป็นนางฟ้า ไม่ต้องมีปีก ไม่ต้องมีเวทมนตร์ เพราะสิ่งที่เธอทำ ทำให้เราเชื่อว่า ในโลกที่วุ่นวาย และเปราะบางใบนี้ยังมีใครบางคนที่เลือกจะเป็น “แสงเล็กๆ” ให้ใครอีกหลายคนเดินต่อไปได้…แม้ในวันที่มืดที่สุด และนั่นคือเหตุผลที่เรา…จดจำเธอไว้เรียบร้อยแล้ว