กว่า 50 ปีที่ครอบครัวอธิกากัมพูทำธุรกิจซื้อขายกระเทียมและหอมแดงในภาคเหนือ จากพ่อค้าท้องถิ่นในจังหวัดลำพูน ที่รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรและนำไปส่งขายต่อในตลาดเมืองใหญ่ กระทั่งวันนี้ได้ส่งต่อมายังเจเนอเรชันที่ 3 ภายใต้การบริหารของคุณนพดา อธิกากัมพู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นพดาซุปเปอร์ฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเทียมดำ ที่ได้การรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นรายแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์B-Garlic ผู้ที่กล้าฉีกแนวทางแบบเดิมๆ นำธุรกิจมาสู่โลกของนวัตกรรมอาหารสุขภาพ

“ผมเป็นรุ่นที่ 3 ของครอบครัวที่ทำธุรกิจกระเทียม จุดเริ่มต้นคือคุณปู่เป็นพ่อค้าท้องถิ่น รับซื้อกระเทียมและหอมแดงจากชาวบ้านมาขาย แล้วรุ่นคุณพ่อก็ขยายตลาดไปไกลขึ้น อย่างเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย ยังเป็นการแปรรูปขั้นต้นเหมือนเดิม คือนำมาล้างทำความสะอาด มัดจุกแต่งเป็นกำ หรือนำมาแกะกลีบ แต่เริ่มส่งตรงเข้าตลาดใหญ่ๆ อย่างตลาดไท ปากคลองตลาด หรือสี่มุมเมือง” คุณนพดาเล่าย้อนความหลังด้วยความภูมิใจ

แต่เส้นทางพ่อค้ารายย่อยในตลาดท้องถิ่นสู่การเป็นผู้ส่งกระเทียมรายใหญ่ในภาคเหนือไม่ได้เกิดขึ้นภายในชั่วข้ามคืน ที่สำคัญกระเทียมยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่ราคาขึ้นลงตามฤดูกาลการเพาะปลูก รวมถึงต้องรับมือกับคู่แข่งสำคัญอย่างกระเทียมนำเข้าจากจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่า “เราก็เป็นเจ้าแรกๆ ในลำพูนที่เริ่มนำเข้ากระเทียมจีนมาเพราะลูกค้าต้องการของถูก โรงงานอาหารก็ต้องใช้ปริมาณมาก ราคาถูกลงกว่าเดิมเยอะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเกษตรกรไทยเริ่มไม่อยากปลูกกระเทียมกันแล้ว เพราะบางปีขายได้แค่กิโลกรัมละ 5-6 บาท”

จากกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้เองที่ทำให้เขาเริ่มคิดใหม่ ในวันที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 ซึ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรด้วยนวัตกรรม “วันหนึ่งผมมานั่งคิดว่าเราจะใส่นวัตกรรมอะไรลงไปในกระเทียมได้บ้าง ซึ่งกระเทียมดำไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกแต่ในเมืองไทยยังเป็นของเฉพาะกลุ่ม การแปรรูปจากกระเทียมสดให้กลายเป็นกระเทียมดำต้องอาศัยความรู้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และประสบการณ์ จุดเด่นของกระเทียมดำคือรสหวานนุ่ม กลิ่นไม่ฉุน และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่ากระเทียมสดหลายเท่า เหมาะกับกลุ่มผู้บริโภคสายสุขภาพ

“พอเริ่มทดลองและพัฒนา เราก็ทำแบรนด์ของตัวเองชื่อ B-Garlic ส่งขายออนไลน์และผ่านช่องทางสุขภาพ อย่างร้านออร์แกนิกในกรุงเทพฯ ผลตอบรับดีมาก กลายเป็นว่าเราขายกระเทียมในรูปแบบใหม่ให้คนที่ไม่เคยกินกระเทียมเลยด้วยซ้ำ เพราะกินง่าย” และนี่คือภาพสะท้อนของการปรับตัวและพัฒนาโดยไม่ทิ้งรากเดิม “ผมไม่ได้คิดว่าเราจะทิ้งกระเทียมสด เรายังรับซื้อจากเกษตรกรเหมือนเดิม แต่เรากำลังเพิ่มทางเลือกให้กับกระเทียม ให้มีมูลค่ามากกว่าเดิม เป็นสินค้านวัตกรรม เป็นซูเปอร์ฟู้ดได้”
จากสงครามราคาสู่กระเทียมดำ บทเรียนจากหม้อหุงข้าว 80 ใบ
ในโลกของกระเทียมกลีบที่ทุกคนผลิตได้เหมือนกัน เสนอขายได้เหมือนกัน การแข่งขันจึงกลายเป็นเกมของคนที่ให้ราคาถูกกว่า ธุรกิจที่เคยอิงอยู่กับความสัมพันธ์กลับเต็มไปด้วยความระแวงระหว่างเพื่อนร่วมวงการ
“บางทีเราก็ต้องขายให้ลูกค้าราคาถูก แต่พอไปซื้อของกลับต้องซื้อแพงจากเกษตรกร มันสวนทางกัน แล้วยิ่งอยู่ในวงการเดียวกัน เพื่อนที่เคยนั่งกินข้าวด้วยกันกลับกลายเป็นคู่แข่งที่แย่งลูกค้ากัน บางครั้งผมก็ถามตัวเองว่าเราจะต้องห้ำหั่นกับเพื่อนเพื่ออยู่รอดไปอีกนานแค่ไหน คำถามนั้นเองที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่พากระเทียมไทยให้ไปไกลกว่ากระเทียมธรรมดา”

การเดินทางไปต่างประเทศ ได้เปิดโลกใหม่
“ที่ญี่ปุ่นผมเจอกระเทียมดำขายอยู่ในห้างราคากิโลกรัมละ 5,000 บาท ผมยังแปลกใจเลยว่าทำไมบ้านเราไม่มีของแบบนี้ มีแต่กระเทียมดอง กระเทียมเจียว กระเทียมแห้ง แล้วทำไมเราไม่ลองทำบ้าง” จากนั้นคุณนพดาก็กลับมาพร้อมแรงบันดาลใจ และเริ่มต้นการทดลองผลิตกระเทียมดำจากหม้อหุงข้าวธรรมดา “ผมเปิดยูทูบดูวิธีทำของเกาหลี ญี่ปุ่น ก็ลองตามนั้นเลย ซื้อหม้อหุงข้าวมาลอง ชวนแฟนไปขายที่ตลาดโก้งโค้งในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนนั้นเราแค่รู้ว่ากระเทียมดำมันแปลก รสชาติหวาน ไม่มีกลิ่นฉุน กินง่าย แต่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีสารอะไรอยู่ในนั้นบ้าง
“จากหม้อใบแรกเพิ่มเป็น 3 ใบ 5 ใบ จนสุดท้ายก่อนจะสร้างโรงงานเรามีหม้อหุงข้าวทั้งหมด 80 ใบ
ในแต่ละใบผลิตได้เพียง 5 กิโลกรัมต่อรอบ และใช้เวลาหมักกว่า 30 วัน กระเทียมดำที่ได้จึงมีปริมาณน้อยมากในช่วงแรก บรรจุในซองฟอยล์ติดสติกเกอร์ง่ายๆ แต่กลับได้รับความสนใจจากอาจารย์และนักวิจัยในมหาวิทยาลัย “ผมเพิ่งรู้จากอาจารย์ทีหลังว่ากระเทียมดำมีรีเสิร์ชรองรับเยอะมากในญี่ปุ่น เกาหลี มีสารที่ชื่อว่า S-Allyl Cysteine ที่สูงกว่ากระเทียมสด ช่วยเรื่องความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล ต้านอนุมูลอิสระ คือมันเป็นซูเปอร์ฟู้ด”
แต่การผลิตด้วยหม้อหุงข้าวก็ใช่ว่าจะไร้ปัญหา ความร้อนของหม้อแต่ละใบไม่เท่ากัน ส่งผลต่อรสชาติของกระเทียมในแต่ละรอบการผลิต “ผมชอบเรียกว่าหม้อหุงข้าว แต่ละใบมันมีชีวิตของมันเอง ในขั้นตอนการผลิต ผ้าห่มที่คลุมก็หนาบางไม่เท่ากัน ความร้อนก็เลยต่างกัน ผมชอบเล่าเรื่องนี้เวลาไปเป็นวิทยากรว่ากว่าจะได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพไม่ใช่แค่เปิดเครื่องทิ้งไว้แล้วรอเวลา แต่ต้องใช้ใจ มีความพยายาม และการเรียนรู้จากความผิดพลาด พอนักวิจัยเริ่มเห็นความตั้งใจของเรา การสนับสนุนก็เริ่มตามมา เพื่อนที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยกันซึ่งกลายเป็นอาจารย์ก็ส่งข้อมูลการวิจัยและเอกสารวิชาการมาให้ศึกษาเพิ่มเติม”
จนวันนี้คุณนพดาไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตกระเทียมดำ แต่คือผู้สร้างเซกเมนต์ใหม่ให้ตลาดอาหารสุขภาพในไทย “จากวันแรกที่ยังไม่รู้ว่าสรรพคุณมันคืออะไร จนวันนี้ผมเข้าใจลึกถึงระดับโมเลกุล รู้ว่าต้องควบคุมอุณหภูมิเท่าไหร่ ความชื้นเท่าไหร่ ถึงจะได้กระเทียมดำคุณภาพเหมือนกันทุกถุง”
ความตั้งใจ 30 วัน ในกระเทียมดำหนึ่งหัว
“กว่าจะได้กระเทียมดำหนึ่งหัวต้องใช้เวลากว่า 30 วัน เพื่อให้สารสำคัญเปลี่ยนแปลงกลายเป็น S-Allyl Cysteine หรือ SAC ที่ร่างกายดูดซึมได้ง่ายยิ่งขึ้น กินกระเทียมดำ 1 หัว เท่ากับกระเทียมสด 13 หัว” และนี่คือ “สาร” แห่งความตั้งใจที่เชื่อมโยงตั้งแต่เกษตรกรในลำพูน โรงงานแปรรูป ไปจนถึงผู้บริโภคปลายทาง

เส้นทางกระเทียมดำ B-Garlic และวิสัยทัศน์ไกลกว่าตลาดไทย
หลังจากที่กระเทียมดำเริ่มเป็นที่รู้จักในตลาดบ้านเรา สิ่งที่ตามมาคือบททดสอบที่ใหญ่กว่าเดิม “เราเริ่มดัง คนเริ่มพูดถึงมากขึ้น ผมยิงแอดบนเฟซบุ๊ก ยอดขายเริ่มขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าอย. ส่งหนังสือห้ามจำหน่าย เพราะกระเทียมดำถูกจัดเป็น Novel Food หรืออาหารใหม่ที่ต้องบริโภคในไทยเกิน 15 ปีถึงจะขึ้นทะเบียนได้ ผมเซ็ตโรงงานไว้หมดแล้ว แต่ติดที่ข้อกฎหมายห้ามขึ้นทะเบียนในชื่อ ‘กระเทียมดำ’ ผมต้องใช้คำว่า ‘กระเทียมอบ’ แทน เพื่อให้ผลิตต่อได้ แล้วเรื่องก็ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับ หน่วยงานราชการในจังหวัดร่วมกันตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อหารือกับอย. โดยมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาซัพพอร์ต เปรียบเทียบกระเทียมดำไทยกับของเกาหลี ญี่ปุ่น ใช้เวลากว่า 2 ปี กว่าจะได้การรับรองจากอย.มาอย่างถูกต้อง พอได้การรับรองจากอย. เหมือนเสือติดปีก แต่ก็ยังปลดล็อกไม่หมด เพราะอย.ยังไม่ให้ใช้ในรูปแบบซอสหรือแคปซูล ต้องบริโภคแบบเป็นหัวเท่านั้น”
โควิดคือจุดเร่งโต จากลำพูนสู่กรุงเทพฯ แล้วไปทั่วโลก
จังหวะที่ได้การรับรองจากอย. มาพอดีกับช่วงโควิด-19 คนเริ่มหันมาสนใจเรื่องภูมิคุ้มกันสุขภาพ และอาหารที่กินง่าย ได้ประโยชน์ กระเทียมดำจึงกลายเป็นซูเปอร์ฟู้ดดาวรุ่ง “ผมลงตลาดออนไลน์ ยิงแอด ทำเพจ แล้วได้โอกาสประกวดงานนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กรรมการจาก ‘เซเว่น อินโนเวชั่น’ มาเห็นก็เลยพาผมไปประกวดที่กรุงเทพฯ ได้รางวัล Creator Award จากนั้นได้เจอกับ True Shopping, RS Mall ได้เอาของไปขึ้นทีวีทุกช่อง” แม้ยอดขายพุ่งจนพนักงานแตะ 200 คน แต่คุณภาพคือสิ่งที่คุณนพดาย้ำเสมอว่า “ทำไม่ได้คือทำไม่ได้”
“ครั้งหนึ่งเรารับออร์เดอร์มากไป ส่งของที่มีเชื้อราไปถึงมือลูกค้า หลังจากนั้นโรงงานเราก็ซีเรียสมากกับมาตรฐาน เพราะเราเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในซองนั้นไม่ใช่แค่กระเทียมดำ แต่มันคือ ‘ความไว้ใจ’ จากผู้บริโภค” และวันนี้กระเทียมดำ B-Garlic มีวางจำหน่ายในร้านสุขภาพทั่วไทย แต่สิ่งที่น่าภูมิใจยิ่งกว่าคือการได้ขึ้นเป็น Best Seller บน Amazon.com ภายใต้แบรนด์หอมเตียม (แปลว่ากระเทียม ในภาษาท้องถิ่นเหนือ) “เราเริ่มออกบูทต่างประเทศ ที่สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ดูไบ อเมริกา ได้ลูกค้าส่งออกรายแรกจากกระทรวงพาณิชย์ และต่อมาก็ได้ไปอยู่บน Amazon ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เราใฝ่ฝัน
อนาคตที่มากกว่ากระเทียมดำ ซูเปอร์ฟู้ดจากสมุนไพรไทย
“ผมมองว่าสินค้าตัวต่อไปของเราอาจไม่ใช่แค่กระเทียม แต่คือสมุนไพรไทยที่จะกลายเป็นซูเปอร์ฟู้ดได้เหมือนกัน เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ หรือแม้แต่ดอกอัญชันที่คนไทยมองข้าม ผมเชื่อว่าเทรนด์ของโลกไม่ได้มองหายา แต่กำลังมองหาอาหารที่กินได้ในชีวิตประจำวัน และให้คุณประโยชน์ต่อสุขภาพ”

ฝากถึงผู้ประกอบการรุ่นใหม่
“วันแรกที่ผมเริ่มทำกระเทียมดำ มีแต่คนบอกว่าอย่าทำเลย กลับไปขายกระเทียมกลีบแบบเดิมเถอะ แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณอยากบุกเบิกอะไรใหม่ๆ ต้องกล้าเริ่ม ต้องลงลึกกับมันจริงๆ สมุนไพรไทยมีโอกาสไปถึงตลาดโลกได้ถ้าเราตีโจทย์ให้ชัด สื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจ มองเห็นคุณค่า และเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ”
หากอนาคตของเกษตรไทยอยู่ที่การยกระดับจาก “สินค้าโภคภัณฑ์” ให้กลายเป็น “สินค้านวัตกรรม” เรื่องราวของคุณนพดา อธิกากัมพู และ B-Garlic ก็คงเป็นหนึ่งในต้นแบบที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนี้
https://www.facebook.com/blackgarlicinthailand
www.b-garlic.com





