ตึกแถวในย่านตลาดน้อยตึกนี้ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่ามีอายุเกือบ 100 ปีแล้ว จากร้านไดนาโมที่อัดแน่นไปด้วยมอเตอร์มากมาย ปัจจุบันพื้นที่ชั้นล่างถูกรีโนเวตเป็นคาเฟ่ของคุณเหมียว-สิริพร โอฬารริกสุภัค ส่วนชั้นอื่นก็ถูกปรับเปลี่ยนไปตามการใช้งาน โดยคุณเหมียวพยายามคงโครงสร้างเดิมและเก็บรักษาเฟอร์นิเจอร์เก่าไว้ให้ได้มากที่สุด


“บ้านหลังนี้เคยเป็นทั้งร้านซ่อมไดนาโมและที่อยู่อาศัยของครอบครัว ตั้งแต่สมัยคุณทวดเดินทางมาจากประเทศจีน ท่านมีความรู้ด้านไฟฟ้า จึงเริ่มต้นอาชีพด้วยการเช่าบ้านนี้ทำเป็นหน้าร้าน ในช่วงแรกเป็นการเช่าเนื่องจากท่านมีสัญชาติจีน จนตอนหลังรุ่นลูกหลานได้รับสัญชาติไทย จึงสามารถซื้อมาเป็นกรรมสิทธิ์ได้ เดิมที่นี่จะมีอาม่า ลูกๆ หลานๆ อยู่ร่วมกัน 9-10 คน เราเองก็อยู่บ้านนี้ตั้งแต่เกิดจนอายุประมาณ 10 กว่าขวบถึงย้ายออกไป ยังจำภาพสมัยเด็กๆ ที่มาวิ่งเล่นได้อยู่เลย” คุณเหมียวเล่าเท้าความให้ฟัง
เมื่อเวลาผ่านไปบ้านก็เริ่มทรุดโทรม บวกกับจังหวะเวลาที่เหมาะสมลงตัว คุณเหมียวจึงตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ต่อจากคุณลุง “ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้คุณทวดได้ทำเอกสารสัญญาไว้กึ่งๆ พินัยกรรมว่าขอยกบ้านหลังนี้ให้เป็นสมบัติของของลูกหลาน ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้ขายหรือเปลี่ยนมือไปให้คนนอก ซึ่งชื่อลูกชายที่ถือโฉนดคือคุณลุงของเรา พอท่านเริ่มมีอายุมากขึ้นก็เลยมาถามในหมู่ญาติว่ามีใครสนใจอยากได้ไหม วันเวลาผ่านไปจนเราทำงาน แต่งงานมีครอบครัวมีลูก เริ่มมีเงินเก็บเลยลองพูดคุยกันกับคุณลุง ท่านใจดีมากๆ ขายให้ในราคาลูกหลาน เราเลยซื้อบ้านหลังนี้มารีโนเวตใหม่โดยตั้งใจว่าจะเก็บของเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด”


ไม่ใช่แค่โครงสร้าง วัสดุ เฟอร์นิเจอร์ แต่คุณเหมียวบอกว่าทุกพื้นที่ในบ้านนั้นเต็มไปด้วยความทรงจำพร้อมเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศของบ้านก่อนจะรีโนเวตให้ฟังว่า “ชั้นล่างเป็นร้านซ่อมไดนาโม เข้ามาแล้วจะรู้สึกเหมือนเซียงกง เต็มไปด้วยไดนาโม มอเตอร์นู่นนี่นั่น มืดๆ ทึบๆ หน่อย แล้วทางเดินในบ้านก็จะแคบเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน ส่วนชั้นสองด้านหน้าที่เคยเป็นห้องนอนย่าทวดก็กลายเป็นห้องเก็บของ ส่วนใหญ่เป็นไดนาโมกับมอเตอร์เหล็กหนักๆ พื้นกับผนังมันก็ดำเลอะเทอะไปหมด ด้านหลังเป็นห้องครัว แต่ก่อนก็จะมาทำอาหาร นั่งกินข้าวกันตรงนี้ ถัดขึ้นไปชั้นบนก็จะเป็นพื้นที่ของคุณอาซึ่งท่านก็เคยอยู่ที่นี่ด้วย”

สำหรับส่วนที่คุณเหมียวรีโนเวตหลักๆ จะเป็นพื้นที่ชั้นหนึ่งกับชั้นสอง โดยให้โจทย์กับทางสถาปนิกว่าให้คงโครงสร้างไว้ ส่วนดีไซน์ก็อยากให้อิงกับสไตล์เดิมของบ้าน “โชคดีที่เราได้สถาปนิกกับช่างที่ค่อนข้างเข้าใจว่าเราต้องการอะไร เข้าใจว่าบ้านนี้มันเต็มไปด้วยความทรงจำเก่าๆ ตอนที่เราเคยอยู่กับอาม่า บางอย่างถ้าดูแล้วยังโอเคเขาก็จะพยายามช่วยทำช่วยเก็บรักษาไว้ให้ อย่างพื้นไม้ห้องเก็บของ ช่างเขาก็ขัดแล้วทาสีเคลือบให้ใหม่ ตอนแรกเรายังถามเลยว่าไหวหรอ จะยังใช้งานได้อยู่ไหม เขาบอกขนาดเหล็กหนักเป็นตันๆ ยังรับน้ำหนักได้เลย แต่อาจจะต้องเดินเบาๆ หน่อย เพราะเดี๋ยวโคมไฟด้านล่างสะเทือน (หัวเราะ) เฟอร์นิเจอร์พวกตู้ โต๊ะ เก้าอี้ส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะเป็นของเก่าทั้งหมด


“ถ้าถามถึงฟังก์ชันใช้สอย บริเวณชั้นหนึ่งตอนนี้เราทำเป็นคาเฟ่ BAKERY STORY by Meaw ออกแบบตกแต่งให้เข้ากันกับตัวตึกเดิม เน้นสีขาว มีหน้าต่างให้มันดูโปร่ง ไม่อึดอัด ตอนแรกเราจะทำฝ้าเพดานแต่พอเปิดโล่งให้เห็นคานกับงานไม้ที่เป็นพื้นของชั้นสองก็ดูสวยดี เลยทาสีแล้วเดินสายไฟใหม่ให้เป็นระเบียบ”
ส่วนของชั้นสองคุณเหมียวเล่าต่อว่า “จากห้องเก็บของตอนนี้เราทำเป็นห้องนั่งเล่น นั่งทำงาน ในอนาคตก็อาจจะใช้งานเป็นฟังก์ชันอย่างอื่นได้ เช่น ถ้าคุณอาเริ่มมีอายุแล้วขึ้นบันไดหลายชั้นไม่ไหวตรงนี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอน เดิมจะมีผนังไม้อัดกั้นห้องกับประตูเล็กๆ เราเลยสลับเอาประตูบานใหญ่จากชั้นบนลงมาแทนเพื่อให้เปิด-ปิดได้สะดวกขึ้น แล้วทำกรอบประตูกระจกให้บ้านดูไม่อึดอัด มีแสงสว่างส่องเข้ามาได้ ส่วนตรงหน้าต่างเราเปลี่ยนลูกกรงจากเดิมที่เป็นเหล็กซี่กลมๆ แบบสมัยโบราณมาเป็นเหล็กดัดมีรูปดอกจิกแทน ที่มาคือเมื่อก่อนเราเคยเห็นลูกกรงชั้นบนมันมีลายคล้ายๆ ดอกจิกแบบนี้ เลยให้พี่ช่างช่วยหาว่ามันยังมีผลิตอยู่ไหม แล้วเขาก็ไปหามาให้ นอกจากนี้ผนังเราก็ทำเป็นซุ้มโค้ง (Arch) เพื่อปิดส่วนงานระบบ สายไฟต่างๆ เอาไว้ เพราะถ้าไม่ทำปิดไว้มันจะไม่สวยเลย ดูโล้นๆ โล่งๆ ต้องบอกว่าจริงๆ เราแอบเรื่องเยอะอยู่เหมือนกัน ก่อนทำบ้านก็มีศึกษาหาข้อมูลว่าบ้านสไตล์นี้จะออกแบบตกแต่งยังไง แล้วเคยขับรถผ่านบ้านที่เป็นตึกแถวย่านปากคลองตลาด เห็นเขาทำแบบนี้กันเลยอยากให้บ้านเรามีแบบนี้บ้าง ผนังจะได้ดูไม่เรียบจนเกินไป”


และยังนำซุ้มโค้งไปใช้ในส่วนผนังตรงทางเดินเชื่อมไปยังห้องครัวแล้วติดภาพถ่ายครอบครัวตกแต่งไว้เป็นเหมือนมุมแกลเลอรีในบ้าน “ตอนแรกตั้งใจว่าตรงทางเดินจะหาโต๊ะกินข้าวเล็กๆ มาวาง แต่รู้สึกว่ามันเกะกะ ทีนี้ตรงผนังเราดีไซน์เป็นซุ้มโค้งแล้วเลยอยากติดภาพตกแต่งให้ดูมีเรื่องราว ซึ่งทั้งหมดเป็นภาพถ่ายที่เราเจอตอนรื้อบ้านและยังไม่เคยเห็นมาก่อน อาม่าเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี คุณภาพกระดาษเหมือนเดิม กรอบยังสวยงาม มีแค่กรอบรูปเดียวที่เราเปลี่ยน นอกนั้นคือของเดิม มีภาพแต่งงานของอากงกับอาม่าสมัยโบราณที่ต้องมีเด็กยืนข้างเจ้าบ่าว 2 คน เจ้าสาว 2 คน มีเด็กโปรยดอกไม้ น่าจะพอมีฐานะ เพราะชุดอาม่าจัดเต็ม ใส่เวลด้วย ถึงจะเป็นคนจีนแต่เหมือนเขาชอบและรับวัฒนธรรมฝรั่งเข้ามา นอกจากนี้ก็จะเห็นได้จากดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ของอาม่าอย่างขาโต๊ะ ขาเก้าอี้ก็จะเป็นขากลึง มีคิ้ว มีบัว” คุณเหมียวเล่าเพิ่มเติม


หลังจากพูดคุยกันที่มุมแกลเลอรีได้สักพักคุณเหมียวก็พาเราเดินต่ออีกนิดมายังห้องครัว “โจทย์ครัวเราบอกให้สถาปนิกเคลียร์ทุกอย่าง (หัวเราะ) เพราะผนังพังหมด มีความชื้น น้ำซึม พื้นเสื่อม แล้วเมื่อก่อนไม่มีฝ้าเป็นแค่ปูนแล้วทาสีเดินสายไฟไว้เฉยๆ เราเลยทำให้สวยงาม เปลี่ยนพื้นปูกระเบื้องใหม่ เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลทำความสะอาด ส่วนครัวเราอยากได้เป็นสีขาว ด้วยขนาดห้องมันทั้งเล็กทั้งแคบ ถ้าเลือกเป็นสีโทนสว่างๆ จะช่วยให้ห้องดูกว้าง ไม่อึดอัด”


ฟังก์ชันครัวออกแบบแบ่งพื้นที่การใช้งานออกเป็น 2 ส่วน ครัวหลักไว้สำหรับทำขนม ส่วนครัวไทยคุณเหมียวบอกว่าถึงจะไม่ได้อยู่อาศัยบ้านหลังนี้เป็นหลัก แต่ก็อยากให้มีครัวไว้รองรับการทำอาหารด้วย โดยทำเป็นประตูกระจกบานเลื่อนไว้เปิด-ปิดเวลาต้องการใช้งานพื้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นและควัน “ส่วนตำแหน่งการจัดเรียงฟังก์ชันต่างๆ เราเป็นคนกำหนดเอง ให้เรียงไปตามซีเควนซ์ (Sequence) การใช้งานของเรา เวลาทำขนมจะเริ่มจากหยิบอินกรีเดียนต์ (Ingredient) ออกจากตู้มาชั่งตวงก่อนนำไปใส่ในเครื่องผสมอาหาร เสร็จแล้วจะเป็นขั้นตอนปั้น หยอด บีบใส่ถาดต้องมีพื้นที่สำหรับเตรียม วางของ จากนั้นก็เอาเข้าเตาอบ พอทำทุกอย่างเรียบร้อยก็ต้องเอาอุปกรณ์ไปล้างทำความสะอาด เราเลยมีอ่างล้างจานขนาดใหญ่พิเศษอยู่ตรงครัวไทยด้วย ส่วนตรงครัวทำขนมจะมีอ่างล้างจานเล็กๆ ไว้ล้างมือ ล้างของง่ายๆ”


ต่อจากเรื่องฟังก์ชันเราถามคุณเหมียวถึงดีไซน์ชุดครัว “เราชอบครัวสไตล์คลาสสิก ไม่อยากได้ครัวโมเดิร์นที่หน้าบานตู้ดูเรียบๆ แล้วเราก็ชอบการตกแต่งสไตล์นี้อยู่แล้วด้วย คือคอนโดฯ ที่เราอยู่ตอนนี้เป็นคอนโดฯ เก่า น่าจะมีอายุประมาณ 30 กว่าปี ภายในห้องเขาออกแบบตู้เป็นสไตล์นี้หมดเลย เราชอบ มันดูอบอุ่นๆ คอนเซ็ปต์ของชุดครัวเลยอยากทำให้ดูคลาสสิก อยู่ได้หลายยุคหลายสมัย มองแล้วไม่เบื่อ หน้าบานเราเลือกเป็นสีครีมนวลๆ ส่วนทอปเคาน์เตอร์ในส่วนที่ไม่ได้ใช้งานหนักจะเลือกเป็นหินอ่อนธรรมชาติ ส่วนตรงไอส์แลนด์ใช้เป็นหินสังเคราะห์ฟู้ดเกรด สามารถทำขนม นวดแป้งได้เลย”

นอกจากนี้คุณเหมียวยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า “จริงๆ ห้องครัวเป็นส่วนที่เราทำการบ้านเยอะที่สุด ไปดูมาหลายแบรนด์ก่อนจะตัดสินใจเลือกชุดครัวอิเกีย ข้อดีของครัวอิเกียคือรับประกันค่อนข้างนาน ขนาดตู้ หน้าบานต่างๆ จะมีขนาดมาตรฐาน ถ้าวันหนึ่งเราเบื่อหน้าบานสีนี้แล้วก็สามารถซื้อหน้าบานใหม่มาเปลี่ยนแทนได้ นอกจากนี้แอกเซสเซอรี่จัดเก็บในตู้ยังมีหลายแบบ ค่อนข้างยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ ตู้ครัวเราจะเลือกเป็นช่องขนาดใหญ่ ถ้าเป็นลิ้นชักจะทำเลือกแบบ 2 ชั้น เวลาเรามีกล่องหรือภาชนะใบใหญ่ๆ ก็สามารถจัดเก็บได้ แล้วเรามีวัตถุดิบ ของใช้ อุปกรณ์ทำขนมมากมาย ครัวนี้จึงเน้นให้มีพื้นที่เก็บของได้เยอะๆ อีกอย่างที่เราอยากให้มีคือส่วนไอส์แลนด์ตรงกลาง เพื่อให้การใช้งานครัวสะดวกคล่องตัวมากขึ้น เป็นทั้งพื้นที่เตรียมของ เป็นทั้งโต๊ะกินข้าวไว้นั่งกินอะไรนิดๆ หน่อยๆ ได้ด้วย
“ในอนาคตเรามีคิดไว้บ้างว่านอกจากเป็นครัวที่เราไว้ทำขนมแล้ว อาจจะทำเวิร์กช็อปจัดดอกไม้ ทำขนมง่ายๆ เพราะเป็นสกิล (Skill) ที่เรามีอยู่แล้ว หรืออาจจะทำเป็นสตูดิโอให้เช่าก็น่าจะรองรับได้เหมือนกัน” คุณเหมียวบอกทิ้งท้าย