เหตุผลในการปลูกต้นไม้ของคนเราอาจแตกต่างกันไป แต่สำหรับคุณโย-อภิฤดี พูลขุมทรัพย์ เจ้าของ KaJee Cafe’ and Hostel เริ่มมาจากการเป็นภูมิแพ้ จึงทำให้เธอเริ่มสนใจและอยากปลูกไม้ฟอกอากาศ ส่วนเหตุผลอื่นรองลงมาคือ ชอบต้นไม้
รู้ตัวว่าชอบต้นไม้เมื่อเราไม่มีมันจริงๆ
มารู้เมื่อเราอยู่บ้านมากๆ แล้วเราไปอยู่ที่อื่น เหมือนไม่มีอะไร เมื่อเราไม่มีมันจริงๆ แล้วมันขาดจริงๆ บางสิ่งเรามองไม่เห็นคุณค่า เราเดินไปเดินมาไปโฟกัสที่ตึก โฟกัสที่บ้าน แต่จริงๆ แล้วบ้านไม่สวยเลยถ้าไม่มีต้นไม้ บ้านไม่อบอุ่นเลยถ้าไม่มีต้นไม้ ตอนเด็กๆ ฟังเพลงเบื่อมาก ต้นไม้ประตูดินทรายต้นไม้ใหญ่ ตอนนี้ฟังแล้วน้ำตาจะไหล ทุกอย่างมันมีความหมายขึ้นมา ต้นไม้มีความหมาย นี่คือสิ่งเดียวที่อยากจะบอก ต้นไม้คือสิ่งที่บางคนสัมผัสไม่ได้หรอกว่าคุณรักมันอยู่ มันเป็นสิ่งหนึ่งของตัวเรา เมื่อวันหนึ่งที่คุณโดนพรากมันออกไป ไปประเทศอื่นที่เค้าหนาว ต้นไม้มีแต่กิ่ง มันร่วง วันนั้นคุณถึงจะเข้าใจว่าสิ่งที่มีอยู่ มันมีอยู่แต่คุณไม่รู้ว่ามีอยู่ คุณเห็นค่ามันแต่คุณไม่รู้ว่าคุณให้ค่ามัน มันเป็นสิ่งที่โยรู้สึก
โยไม่ได้เป็นคนรักต้นไม้ที่รู้ว่าตัวเองรักต้นไม้
ไม่รู้เลยจนวันหนึ่งเราไม่มีมัน แล้วเราก็รู้สึกว่าไม่ได้ แล้วคนส่วนใหญ่ไม่รู้นะว่าตัวเองรักต้นไม้ ไม่รู้ เค้าคิดว่าเค้าเข้ามาถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้สวยจัง แต่ที่นี่ความสวยจะหายไปทันทีถ้าเปลี่ยนหญ้าเป็นปูน ตรงนี้ถ้าไม่มีต้นไทรก็ไม่มีรากไทร ถ้าคุณไม่เห็นรากไทร คุณจะขาดการเห็นลม รากไทรทำให้ลมมันมองเห็นได้ มีความพลิ้วของมัน นี่คือความพิเศษของธรรมชาติ มันไม่มีแต่มันมี เหมือนเราไม่เห็นแต่มันอยู่ในแบ๊คกราวนด์ เหมือนวัตถุอันหนึ่งมีโฟกราวนด์ มีแบ๊คกราวนด์
ต้นไม้ก็เหมือนทารก
ต้นไม้ละเอียดอ่อนมากเลยนะ โยเคยผ่านจุดที่แบบว่าฉันไม่เคยปลูกอะไรได้ ไม่มีทาง ปลูกอะไรก็ตาย ปลูกอะไรก็ไม่รอด แต่พอวันหนึ่งเมื่อเราลองหยิบเขาขึ้นมาดูแล้วเราลองสังเกตเขา มันสอนเรา ต้นไม้สอนเรา มันไม่สามารถมีทฤษฎีอะไรมาบอกได้ว่าต้นนี้มันต้องดูแลยังไง แต่เราต้องมองเขาว่าเขาต้องการอะไร ฟังแล้วดูเหมือนเพี้ยน แต่หลังๆ โยรู้สึกว่าต้นไม้เราต้องมองเขาแล้วรู้จักเทสต์ เหมือนทารกคนหนึ่ง เราต้องฟังเสียงร้องของเขาว่าเขาต้องการอะไร คอยมองดูสังเกต สิ่งที่เขาสอนเราก็คือความใจเย็น ต้นไม้สอนเราว่า ถ้าอยากได้ริบบิ้นชาลีให้โต แต่มี 2 กิ่งแค่นี้ สอนให้ใจเย็นว่าต้องรอ บางอย่างเราต้องรอ แล้วการรอคอยมันคุ้มค่ามากเมื่อวันหนึ่งมันแตกยอดขึ้นมาอีก นี่คือความมหัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิตที่เราไม่สามารถเร่งเร้าอะไรเค้าได้ มันคือการยอมแพ้ เรายอมแพ้ให้กับธรรมชาติ
เราต้องคุยกับต้นไม้บ้าง
วันหนึ่งซื้อเฟิร์นทางออนไลน์ เลี้ยงไปสักพัก เอ๊ะ! ทำไมใบร่วง ตอนแรกที่ของมาถึงมันสวยมาก แล้วมันก็เริ่มทิ้งใบ โทรหาคนขายเลยเล่าอาการให้ฟัง เค้าก็ไม่รู้แต่ก็ส่งคู่มือการดูแลเฟิร์นมาด้วย เราทำตามทุกอย่าง วิเคราะห์ แล้ววันนั้นไปยืนดู คุยกันเคลียร์กัน ปรากฏว่าโยจามไม่หยุดเลย (เพราะเราเป็นภูมิแพ้) ตรงที่ยืนคุยกับเฟิร์นนี่แหละ ลมมา เลยรู้คำตอบว่าเฟิร์นไม่ชอบลม เราก็เลยเอาไปเสิร์ช มันเด้งขึ้นมา เฟิร์นไม่สามารถอยู่ในที่ที่ลมแรงได้ เค้าจะคายน้ำออกจากใบเร็วมาก ผลัดใบออกเพื่อที่จะลดพื้นผิวของการสูญเสียน้ำออกไป
เวลาเราหาคำตอบให้กับธรรมชาติได้
มันสอนเราว่าควรใจเย็นๆ ค่อยๆ มองเค้า ทำตามคำแนะนำหรือตามคู่มือมันก็ไม่ใช่ เพราะคนขายส่งเฟิร์นมาเลี้ยงสวยมากเค้าก็ไม่บอกเราเรื่องลม เพราะที่ที่เขาปลูกอาจจะไม่มี แต่ละคนเจอไม่เหมือนกัน ต้นไม้หนึ่งต้นมันแปรไปตามสถานที่นั้นๆ ด้วย มันไม่ใช่ต้นไม้หนึ่งต้น พร้อมคู่มือแล้วจบ ไม่มีใครบอกได้ว่าที่ตรงนั้นเป็นยังไง ต้องดูเอาเอง เราอินกับเขาเหมือนมนุษย์คนหนึ่งมีความ individual ต้นไม้มันก็อินดี้ แต่ละพันธุ์มันมีความรู้สึกของมัน ชั้นชอบแบบนี้ เค้ามีความชอบ ความไม่ชอบ อย่าคาดหวังว่าต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น ต้องรอดสิ ให้ดินใส่ปุ๋ยแล้วเธอต้องรอดสิ ในโลกของต้นไม้เราไม่สามารถคาดหวังอะไรได้เลย
ต้นไม้สอนให้เราเรียนรู้ถึงความใจเย็น
ถ้าไม่มีเค้า เราไม่มีความสุข เราโง่เหมือนเดิม ต้นไม้สอนเรา วันนั้นดูรากไทรพลิ้วไปพลิ้วมา เครียด บ่นในใจ อยู่ดีๆ เราก็มอง มันหายทุกข์ เหมือนเราเป็นนกตัวหนึ่งภายใต้อะไรที่ยิ่งใหญ่จริงๆ สัมผัสต้นไม้ยังไม่เท่าสัมผัสลมนะ ถ้าเราสัมผัสถึงลมได้ มันยิ่งใหญ่ เราคอนโทรลไม่ได้เลย
เพิ่มมุมสวนในขจีคาเฟ่
ต้นไม้ของที่นี่เน้นไม้ใบ เสน่ห์จะอยู่ที่ลายของ นอกจากนี้ก็มีแคคตัส ไม้อวบ ปะการังด่างชมพู เลือกต้นไม้ตามความชอบ ต้นไม้มันแปลกสิ่งที่ทึ่งที่สุดไม่ใช่ดอกแต่อยู่ที่ใบ ทำให้เราหันกลับมามองว่าใบก็สวยนะ ชอบความเขียวอยู่แล้ว ใบไม่ได้มีที่ลายและสี กลิ่นด้วย สนกันยุง แต่ละต้นมีความละเอียดอ่อนที่ต่างกัน
เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแต่เป็นแค่เลิฟเวอร์
เราเป็นคนรักจริงๆ ทุกอย่างมาจากความรัก อย่างแม่ของโยนี่แหละที่รักต้นไม้มาก หมดไปไม่รู้เท่าไหร่ ต้นกำเนิดของที่นี่ที่เห็นคือเกิดจากแม่ เป็นจินตนาการของแม่ล้วนๆ ถึงขนาดรื้อบ้านทิ้งแล้วเก็บต้นไม้ไว้ หรือบางทีก็ไปเก็บต้นไม้ข้างทาง เป็นต้นไม้ที่ไม่มีใครเห็นค่าแล้วก็มาตั้งชื่อเองด้วย (ฮา) ทำให้เรานึกถึงคำหนึ่งของเช็คสเปียร์ที่เขียนว่า กุหลาบถึงแม้ว่ามันไม่ชื่อว่ากุหลาบมันก็สวีทเสมอ ชื่อไม่ใช่สิ่งสำคัญ กุหลาบนะต่อให้มันชื่ออื่นมันก็สวีทเสมอ
ความตั้งใจทั้งหมดของการทำขจีคาเฟ่
การทำให้คนมีความสุข ทำไงก็ได้ ให้แผ่นดินนี้มีประโยชน์มากที่สุด ตึกนี้จริงๆ เป็นโรงงานน้ำ เราดูว่าเหมาะกับอะไรก็ปรับ ข้างหน้าเหมาะกับสวนเราก็ทำเพิ่ม เหมือนบ้านทั่วไปดูไม่เวอร์ เราจะทำทุกอย่างให้คาเฟ่มีลักษณะเหมือนบ้าน ไม่มีธีม เราไม่ซีเรียสกับตรงนั้น ไม่ชอบอึดอัด ชอบความชุ่มชื้น ความสบาย รกได้ พลาดได้ แหว่งได้ ชอบความไม่เนี้ยบ ความเนี้ยบมันเกร็งสร้างยาก เราจะไม่สร้างความคาดหวังให้ลูกค้า เงินที่ใช้ในการโปรโมทจะโปรโมทในวันที่มีตลาดเท่านั้น เราเน้นความธรรมดา อยากให้คนมาแล้วเอาไอเดียกลับบ้านไป เราไปทำมุมนี้ที่บ้านมั้ย
อยากให้ทุกคนเอาความเป็นขจีกลับไปบ้าน
คอนเซ็ปต์จริงๆ ของการทำร้านก็คือ bring kajee home เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมา เอาขจีกลับบ้าน อยู่ในใจก็ได้ อยู่ในตา อยู่ในหู อยู่ในจมูก bring it with you พยายามทำทุกอย่างให้เป็นบ้านมากที่สุด เพราะเราอยากให้คนรู้ว่าความสุขจริงๆ มันสร้างได้ด้วยตัวคุณเอง ความเรียบง่าย อยากกระจายความสุขที่คุณไม่ต้องไขว่คว้า อยู่ไหนก็ไม่มีความสุขเท่าอยู่บ้าน อยากให้ทุกคนเหมือนโย รู้สึกอิ่มในใจ ไม่ต้องพยายามมาก
สำหรับมือใหม่หัดปลูก
อยากให้ใจเย็น ผิดพลาดได้ ค่อยๆ เรียนรู้ ให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้มากกว่าความสำเร็จ เพราะความสำเร็จหาที่ไหนก็ได้ ใช้เงินซื้อต้นไม้ก็มาตั้งสวยแล้ว ความสำเร็จซื้อได้ แต่ความฉลาดซื้อไม่ได้ ถ้าอยากได้ความฉลาดหรือความสงบใจเลี้ยงต้นไม้ แต่ถ้าอยากได้ความสวยความสำเร็จซื้อเอา แต่อยากได้ความรักความเมตตาค่อยๆ เลี้ยงเค้า แล้วเราจะใจเย็น เพราะต้นไม้แต่ละต้นชอบสถานที่ไม่เหมือนกัน ต้องลองย้ายจนกว่ามันจะใช่สำหรับเค้า