บ้านเก่าเล่าเรื่องใหม่ในแบบ English Cottage สไตล์วินเทจร่วมสมัย

บ้านหลังเก่าที่เคยถูกปล่อยให้เงียบเหงามานานหลายสิบปี กำลังกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ภายใต้การตีความใหม่ของคุณพีท-ณัฐภัค และคุณเบล-สุวรัศมิ์ ยอดจรัส ที่ไม่ได้มองเห็นเพียงโครงสร้างทรุดโทรม แต่สัมผัสได้ถึงจังหวะและเสน่ห์บางอย่างที่ยังซ่อนอยู่ในพื้นที่เดิม พวกเขาไม่เพียงแค่ปรับปรุงให้บ้านกลับมาสวยงาม หากแต่ตั้งใจเก็บร่องรอยเดิมไว้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่า แล้วค่อยๆ เติมกลิ่นอายใหม่ๆ ด้วยสถาปัตยกรรมที่เคารพต้นฉบับ ไม่ใช่การลบอดีตทิ้ง แต่เป็นการประสานอดีตกับปัจจุบันให้กลายเป็นบ้านที่ “อยู่จริง” ได้ในแบบที่ครอบครัวต้องการ

การรีโนเวตครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการปรับภาพลักษณ์ให้ดูใหม่ แต่คือการฟื้นฟูด้วยความเข้าใจ ทั้งในเชิงพื้นที่ อารมณ์ และบริบท สถาปนิกเลือกเก็บองค์ประกอบเดิมไว้เท่าที่จำเป็น แล้วค่อยๆ เติมฟังก์ชันใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตปัจจุบัน พร้อมใส่รายละเอียดของความเป็น English Cottage ลงไปอย่างพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เหมือนปล่อยให้บ้านได้หายใจในจังหวะของตัวเองอีกครั้ง

โปรเจ็กต์รีโนเวตครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้การดูแลของคุณวิล-วิล์ลญา สงค์อิ่ม และคุณเบิ้ม-พุฒิกร เกียรติยุทธชาติ จาก B+W Design Studio สถาปนิกผู้นำความฝันของเจ้าของบ้านมาแปลเป็นรูปธรรม ทุกช่องแสง ทุกผิวสัมผัส ทุกเส้นสายถูกคิดและออกแบบอย่างตั้งใจ เพื่อให้บ้านหลังนี้กลับมามีจังหวะของชีวิตอีกครั้ง ผลลัพธ์จึงไม่ใช่แค่บ้านที่เปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง แต่คือพื้นที่ที่สะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัย ถ่ายทอดวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เป็นกันเอง และเต็มไปด้วยความสบายใจอย่างที่บ้านควรจะเป็น

จากบ้านร้างหลากบทบาท ในที่สุดก็เป็นบ้านของเรา

คุณณัฐเริ่มต้นเล่าถึงที่มาของบ้านหลังนี้ว่าเขาอยู่ที่นี่มาเข้าสู่ปีที่ 6 แล้ว บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าที่คุณแม่ซื้อเก็บไว้กว่า 20 ปี แต่เคยถูกปล่อยร้างมานานเกือบ 10 ปี ก่อนหน้านั้นคุณพ่อเคยนำมาปรับเป็นออฟฟิศชั่วคราวอยู่พักหนึ่ง พอหมดวาระใช้งานบ้านก็กลับมาเงียบเหงาอีกครั้ง จนกระทั่งมาถึงมือของคุณณัฐที่เริ่มมองเห็นศักยภาพบางอย่างในบ้านหลังเก่านี้ และอยากจะชุบชีวิตมันขึ้นมาใหม่

“ตอนแรกผมแพลนกับน้องสาวว่าจะทำที่นี่เป็นสตูดิโอให้เช่า ซึ่งนี่เป็นโจทย์แรกเลยดึงวิลกับเบิ้มเข้ามาช่วยออกแบบ แต่พอทำไปได้สักพัก เราก็เปลี่ยนใจอยากทำเป็นคาเฟ่แทน เพราะฉะนั้นดีไซน์บ้านอาจจะดูแปลกตา ไม่เหมือนบ้านทั่วๆ ไป แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ เรากลับชอบที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ เลยครับ” คุณณัฐเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการรีโนเวตครั้งใหญ่ ซึ่งครอบคลุมไปถึงการแก้ไขโครงสร้างเดิม แก้ปัญหาสนิม และระบบท่อน้ำที่ชำรุดเกือบทั้งหมด

แต่แล้วด้วยข้อจำกัดเรื่องที่จอดรถซึ่งไม่เอื้อต่อการเปิดคาเฟ่ ทำให้ในท้ายที่สุดคุณณัฐตัดสินใจว่าการปรับเปลี่ยนบ้านหลังนี้ให้เป็นที่อยู่อาศัยน่าจะตอบโจทย์ที่สุด “กลายเป็นว่าเราค่อยๆ ตกหลุมรักที่นี่ จากความตั้งใจแรกที่อยากรีโนเวตเพื่อคนอื่น กลับกลายเป็นบ้านสำหรับตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว”

การตัดสินใจครั้งนั้นไม่เพียงทำให้บ้านหลังนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ยังกลายเป็นบ้านที่อบอุ่น ใช้งานได้จริง และสะท้อนตัวตนของเจ้าของได้อย่างชัดเจน

หากมองจากภายนอก บ้านสีขาวสะอาดตาโดดเด่นอยู่หลังแนวรั้วเหล็กดัดลวดลายอ่อนช้อยในโทนสีเดียวกัน ความเขียวขจีของต้นไม้ที่จัดวางอย่างมีจังหวะช่วยเติมชีวิตให้บ้านดูมีมิติ และชวนให้ใครหลายคนอยากก้าวข้ามรั้วเข้ามาสัมผัสบรรยากาศภายใน พื้นที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า กลิ่นอายความทรงจำ และรายละเอียดของดีไซน์ที่มีความเป็นตัวเองอย่างชัดเจน

มุมมองของสถาปนิก เมื่อบ้านหนึ่งหลังต้องตอบหลายโจทย์

คุณวิล – วิล์ลญา สงค์อิ่ม สถาปนิกผู้ออกแบบบ้านหลังนี้ เล่าถึงความท้าทายตั้งแต่จุดเริ่มต้นของ   โปรเจ็กต์ว่า “โจทย์แรกที่คุณณัฐให้มาคืออยากทำสตูดิโอให้เช่า มีหลายมุมสำหรับถ่ายภาพ ต่อมาก็ปรับเป็นคาเฟ่ที่ต้องการพื้นที่นั่งจิบกาแฟหลายมุม และสุดท้ายโจทย์ถูกเปลี่ยนไปอีกครั้งเป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัย ดังนั้นดีไซน์ทั้งหมดต้องยืดหยุ่นและปรับให้ลงตัวกับทุกบริบท”การปรับเปลี่ยนฟังก์ชันอย่างชาญฉลาดนี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในโซนแพนทรีที่เดิมทีถูกออกแบบให้เป็นเคาน์เตอร์ชงกาแฟสำหรับคาเฟ่ แต่ภายหลังถูกพลิกบทบาทให้กลายเป็นแพนทรีที่กลมกลืนกับครัวในบ้าน ผนังครัวกรุด้วยกระเบื้องเซรามิกสีขาวลายตาราง เพิ่มดีเทลเรียบง่ายแต่มีสไตล์ และตัดด้วยตู้เย็นสีเขียวมินต์คลาสสิกที่กลายเป็นไฮไลต์ชวนสะดุดตา

แนวคิดสำคัญที่คุณวิลย้ำตลอดการออกแบบคือการคงไว้ซึ่งความ “น่ารัก โฮมมี” พร้อมกลิ่นอายแบบ English Cottage ที่ไม่หวานจนเกินไป แต่มีเสน่ห์ในรายละเอียดเล็กๆ อย่างเช่นหน้าต่างที่ตั้งใจเลือกใช้กรอบบานแบบแบ่งกริด แทนที่จะเป็นกระจกใสเรียบสไตล์โมเดิร์นทั่วไป “ปกติหน้าต่างโมเดิร์นจะไม่แบ่งกริดแบบนี้ แต่เราอยากให้ดูน่ารักและเข้ากับอารมณ์บ้านสไตล์ English Cottage เลยผสมเข้าไป” คุณวิลเล่า

หนึ่งในมุมที่ถ่ายทอดแนวคิดนี้ได้ชัดเจนคือ ห้องนั่งเล่นที่เปิดรับแสงธรรมชาติผ่านประตูกระจกบานใหญ่แบบแบ่งกริดถี่ๆ ทำให้พื้นที่ดูโปร่ง สว่าง และเชื่อมต่อกับสวนสีเขียวภายนอกได้อย่างพอดี ทั้งยังช่วยขับเน้นความรู้สึกอบอุ่นแบบ “บ้านจริง” ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่การมอง

ในด้านโครงสร้างหลัก คุณวิลเลือกเก็บของเดิมไว้เกือบทั้งหมด มีเพียงบางจุดที่เสริมใหม่ เช่น การตอกเสาเข็มเพิ่มเติมบริเวณพื้นที่ด้านข้างลานจอดรถเดิมเพื่อต่อเติมให้กลายเป็นกลาสเฮาส์ ขณะที่ภายในมีการปรับผังเล็กน้อย เช่น การทุบผนังบางส่วนเพื่อเปิดพื้นที่ให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะบริเวณครัวและห้องนั่งเล่นที่เชื่อมถึงกัน และการเพิ่มหน้าต่างให้มีความสมมาตร เพื่อให้บ้านดูกว้าง โปร่ง และรับแสงได้ในทุกมุมมอง

หัวใจของบ้านที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน

เมื่อถามถึงความต้องการด้านดีไซน์ คุณณัฐตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “ผมเปิดไอเดียกว้างมากให้กับสถาปนิกครับ” ซึ่งคุณวิลเสริมว่า “ส่วนใหญ่เวลาเราทำงาน ถ้าลูกค้ายังไม่มีภาพในใจ เราจะหารูป Reference มาให้ดูก่อน เพื่อให้เห็นภาพรวมของบ้าน แล้วค่อยๆ พัฒนาไปด้วยกัน” การแลกเปลี่ยนแบบเปิดกว้างเช่นนี้ทำให้ทีมออกแบบสามารถวางแนวทางได้อย่างยืดหยุ่น และลงเอยด้วยการออกแบบบ้านในสไตล์ English Cottage ที่สะท้อนความอบอุ่นแบบพอดีๆ และไม่หวานจนเกินไป ซึ่งรวมถึงพื้นที่ครัวที่กลายเป็นหัวใจของบ้านหลังนี้ด้วย

คุณวิลเล่าถึงฟังก์ชันครัวที่ออกแบบมาเพื่อไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้านว่า “เราคำนึงถึงการใช้งานพื้นฐานเป็นหลัก เพราะคุณณัฐไม่ได้ทำอาหารหนักมาก จึงเน้นเตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน พื้นที่สำหรับไมโครเวฟ และฟังก์ชันที่พอเหมาะกับการอุ่นอาหารหรือทำอาหารเบาๆ” หากวันไหนอยากทำเมนูจริงจังก็สามารถใช้ครัวนอกที่แยกไว้อีกจุดได้อย่างสะดวก

หนึ่งในไฮไลต์ของครัวคือไอส์แลนด์สีขาวสะอาดตาขนาดกำลังดี ซึ่งออกแบบให้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ทั้งสำหรับเตรียมอาหาร วางของ หรือจะใช้วางเก้าอี้สตูลไว้นั่งจิบกาแฟยามเช้าในบรรยากาศแสงธรรมชาติก็ให้ความรู้สึกสบายๆ รวมถึงการออกแบบฟังก์ชันจัดเก็บที่เพียงพอกับการใช้งาน ถึงแม้คุณณัฐแอบกระซิบว่าพออยู่ไปเรื่อยๆ ตอนนี้ของก็เริ่มเยอะขึ้นทุกที แต่ด้วยความที่มีพื้นที่จัดเก็บจึงง่ายและสะดวกต่อการหยิบใช้

ห้องครัวและห้องนั่งเล่นเชื่อมต่อกันในรูปแบบพื้นที่เปิดโล่ง ช่วยสร้างความรู้สึกต่อเนื่องและกว้างขวาง พื้นชั้นล่างปูด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนสีขาวที่มอบความเรียบหรูพร้อมความสว่างสดใส ทำให้บ้านดูโปร่งและกว้างขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ในส่วนของชั้นสอง คุณวิลอธิบายว่า “เรารีโนเวตหลักๆ ในส่วนของห้องนอนและ ห้องน้ำ โดยทุบผนังเดิมออกให้กลายเป็นห้องใหญ่ห้องเดียว เพราะอยู่กันสองคน และเปลี่ยนหน้าต่างให้มีดีไซน์สอดคล้องกับชั้นล่าง เพื่อความต่อเนื่องของภาพรวมบ้าน” การปรับผังภายในแบบนี้ไม่เพียงตอบโจทย์การใช้งาน แต่ยังช่วยให้บ้านทั้งหลังดูสบายตาและกลมกลืนในทุกมิติ

อิสระของการใช้ชีวิตในบ้านที่ชอบทุกมุม

คุณณัฐและคุณเบลเล่าถึงความรู้สึกหลังบ้านเสร็จสมบูรณ์ด้วยความชื่นชอบอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งคู่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นี่ เพราะฟังก์ชันการใช้งานที่ง่าย สะดวกสบาย แตกต่างจากการอยู่คอนโดฯ อย่างสิ้นเชิง บ้านหลังนี้มอบสเปซกว้างขวาง เปิดรับพื้นที่สีเขียวและธรรมชาติรอบด้าน ซึ่งไม่เพียงเติมเต็มสายตา แต่ยังเติมชีวิตชีวาให้บ้านได้อย่างน่าอัศจรรย์

คุณวิลฝากเล่าถึงรายละเอียดเล็กๆ ที่ทำให้บ้านหลังนี้มีความพิเศษไม่เหมือนใคร เช่น การเก็บรักษาดีเทลโครงสร้างงานอาร์ตหรือส่วนโค้งเว้าต่างๆ ไว้ รวมถึงการคงหน้าต่างบานเดิมที่คลาสสิก และการดันฝ้าเพดานให้สูงขึ้นเกือบสุดคาน เพื่อสร้างบรรยากาศภายในที่โปร่ง โล่งสบายอย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งบันไดไม้เก่าก็ยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างพิถีพิถัน เป็นการเชื่อมโยงความทรงจำของบ้านเดิมเข้ากับดีไซน์ใหม่ได้อย่างน่าสนใจ

แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วน เช่น การเปลี่ยนหลังคากระจกของกลาสเฮาส์ด้านบนเป็นหลังคาทึบ เพราะกระจกเดิมมีปัญหาเรื่องแตกและแมลงรบกวน แต่คุณณัฐยังคงใช้พื้นที่นี้ปลูกต้นไม้ใบสวยๆ รวมถึงต่อเติมและปรับพื้นที่ในสวนข้างบ้านบางส่วนเป็นพื้นที่สำหรับเลี้ยงกระต่ายและกิ้งก่า

คุณณัฐปิดท้ายด้วยความประทับใจว่า “ผมเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว เพราะชอบย้ายและเปลี่ยนมุมไปเรื่อย” ซึ่งเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นที่เลือกสรรล้วนสะท้อนรสนิยมและตัวตนของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ตู้เก็บของสีเทาอ่อนข้างบันไดที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ไปจนถึงโซฟาและของตกแต่งที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและน่ารัก เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ตกหลุมรักในทุกมุมของบ้านหลังนี้

เรื่องราวของบ้านหลังนี้จึงไม่ใช่แค่การรีโนเวตอาคารเก่า แต่คือการสร้างสรรค์พื้นที่ที่สะท้อนตัวตน ไลฟ์สไตล์ และความสุขของเจ้าของบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยความร่วมมือระหว่างเจ้าของบ้านและสถาปนิก บ้านหลังนี้จึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนที่กำลังมองหาแนวทางเปลี่ยนบ้านเก่าให้เป็นบ้านในฝัน

wassukon

wassukon

ไม่ได้จบโดยตรงด้านออกแบบ แต่ฝันอยากเป็นสถาปนิกแล้วโลกก็เหวี่ยงให้มาเขียนงานด้านออกแบบเป็นสิบปี ตอนนี้เลยมีโลกส่วนครัวมากกว่าโลกส่วนตัวไปแล้ว