ในช่วงรอยต่อของฤดูซึ่งฝนกำลังจะหมดและเริ่มเข้าสู่หน้าหนาว บรรยากาศแบบนี้ช่วยปรับอุณหภูมิให้ร่างกายให้เรารู้สึกสดชื่น รู้สึกสบายอารมณ์ ทำตัวเนิบช้าแม้จะอยู่ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่ถ้าคุณได้ลองมาอยู่ บ้านติดริมแม่น้ำ ใน อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี หลังนี้จะเปลี่ยนความรู้สึกให้เราทำสิ่งตรงกันข้าม คุณจะกระปรี้กระเปร่า ตื่นเต้น อยากตื่นเช้าเพื่อลุกขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างถ่อมตนและนอบน้อมไปกับธรรมชาติรอบๆ
บ้านสีขาวขนาดกะทัดรัดริมแม่น้ำท่าจีนแห่งนี้มี คุณแอน-จันทน์สุภา ชมกุล (เจ้าของเวิร์คชอปสตูดิโอ Simply Organics) และ คุณตั้ม-มนัส สมสวัสดิ์ (เจ้าของร้านกาแฟ T’aime Cafe) เป็นผู้เช่าโดยเปิดเป็นทั้งเวิร์คชอปสตูดิโอและร้านกาแฟควบคู่กัน
เราไม่ได้สื่อความถึงการเดินทางของคุณแอนและคุณตั้มในแง่งามของคนรัก แต่เขาคือเพื่อนซี้ที่ถูกลิขิตได้อาศัยในบ้านหลังนี้ต่างหาก เรียกว่ากว่าพวกเขาจะพบที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งได้ฟังเรื่องเล่าจากทั้งคู่ เราคิดว่านอกจากการนำพาคนที่มีใจชอบหรือหลงใหลอะไรเหมือนกันให้มารู้จักและพบเจอแล้ว มันคือความมหัศจรรย์ที่บ้านก็เลือกผู้อาศัยด้วยเช่นกัน
จากหนังสือ Simply Living สู่ Simply Organics
เราเริ่มต้นจากการทำหนังสือ Simply Living นำเสนอเนื้อหาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่สุดท้ายหนังสือไปต่อไม่ได้เราจึงหยุดทำ แต่ยังชอบเนื้อหาของหนังสืออยู่และมองว่าเราสามารถนำไปทำอะไรต่อได้บ้าง เลยลองเอาไอเดียในการทำเวิร์คชอปตอนที่ไปออกบูทขายหนังสือมาต่อยอด โดยดึงเอาผู้เชี่ยวชาญในงานแต่ละด้านมาสอน แต่ปัญหาที่เราพบก็คือ วิทยากรไม่มีเวลาว่างให้เราตลอด หลังจากนั้นเราจึงต้องสอนเองโดยศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้น เพราะเราตั้งเป้าเอาไว้ว่าอยากเป็นสตูดิโอเวิร์คชอปมีคอนเซ็ปต์ชัดเจนที่เน้นให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เช่น ทำสบู่ ย้อมคราม ลิปบาล์ม
ต้นครามปลูกไว้ริมน้ำกำลังงามเลย
จากลาดพร้าวสู่สามชุก
เราทำแบรนด์ Simply Organics ตรงลาดพร้าวซึ่งทำสัญญาใกล้จะครบ 3 ปีพอดี ละแวกนั้นเริ่มมีการซื้อขายที่ดิน สร้างคอนโดมิเนียม ทัศนียภาพจากเดิมเป็นบ้านริมคลองเงียบๆ เริ่มเปลี่ยน เต็มไปด้วยแคมป์คนงาน สิ่งปลูกสร้าง เราจึงเริ่มมองหาบ้านหลังใหม่ ประจวบเหมาะที่เรารู้จักตั้มอยู่แล้วเพราะเคยฝากหนังสือขายที่ร้านกาแฟ แล้วเขาย้ายร้านใหม่เราก็เลยไปดู ได้คุยกันว่าที่ริมแม่น้ำแบบนี้ก็ดีนะ อีกอย่างสุพรรณฯ ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯ พูดเปรยๆ กับเขาว่าที่ริมน้ำแบบนี้มีอีกหรือเปล่า เพราะชอบบ้านริมน้ำซึ่งระหว่างนั้นเราก็หาที่และดูไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งตั้มบอกว่าให้ลองไปดูที่ที่สามชุก เราเลยเดินทางไปดู
สภาพบ้านในตอนนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นในตอนนี้ เป็นป่ากระถินที่รกมาก รถเข้าไปไม่ได้ แต่มันคือตำแหน่งที่ตั้มเขาบอกว่ามีบ้านริมน้ำให้เช่า เราเลยถามเจ้าของบ้านแถบนั้นว่าแถวนี้มีบ้านริมน้ำให้เช่าไหม แล้วเขาก็ชี้ไป…คือสภาพตอนนั้นมองไม่เห็นตัวบ้านเลยเห็นแค่หลังคาโผล่มาหน่อยหนึ่ง เป็นบ้านที่หมกอยู่ในดงกระถินแบบนั้นเลย แต่ไหนๆ มาแล้วเราเลยขอเขาว่าเข้าไปดูได้ไหม เขาบอกว่าขอดูก่อนนะว่าเข้าได้หรือเปล่า แล้วเขาก็เอามีดมาฟันเพื่อให้พอมีทางเดินเข้าไปได้ พอเราเดินขึ้นบันไดมองผ่านหน้าต่างกระจก เราแบบเฮ้ย…พื้นบ้านเป็นไม้กระดาน มีโต๊ะไม้ในครัว เราชอบมากเห็นแล้วอยากเช่าเลยทันที
จากบ้านร้างในดงกระถิน กลายเป็นบ้านริมน้ำน่าอยู่
เรามีโอกาสเข้าไปดูบรรยากาศภายในบ้าน ก็ไม่ได้น่ากลัวหรืออะไรนะ มันคือบ้านที่ไม่ได้ถูกใช้งาน เจ้าของบ้านเคยเป็นของนายอำเภอสามชุกแต่ลูกๆ ไปเรียนกรุงเทพฯ กันหมด หากดูจากแปลนบ้านนี้เหมือนบ้านตากอากาศที่มีฟังก์ชันใช้งานง่ายๆ มี 2 ห้องนอน ผนังด้านหนึ่งออกแบบเป็นประตูบานเฟี้ยมเชื่อมต่อกับระเบียงกว้างๆ ที่เปิดรับลมและเดินออกไปชมวิวแม่น้ำท่าจีน
พอได้คุยกับเจ้าของบ้าน เขาให้เช่าตามสภาพ เราอยากซ่อมแซมอะไรก็ได้ เมื่อตกลงเรียบร้อยเราให้คนเข้ามาถางหญ้าเพื่อเปิดบ้านให้เห็นชัดเจนดูว่ามันคืออะไร แต่ถางแล้วก็ยังมีตอต้นไม้อยู่คิดว่ากำลังคนคงไม่สามารถเลยให้รถแมคโครมาขุด ปรับที่ดินเกลี่ยให้เป็นที่เรียบๆ หลังจากไถเสร็จเรียบร้อยแล้วมันคือที่ดินที่สวยมาก ทำเอาเจ้าของบ้านเปลี่ยนใจไม่อยากให้เราเช่า แต่สุดท้ายเขาก็ยอมให้เราเช่าบ้านหลังนี้
ใส่สไตล์ของคนทั้งคู่เข้าไปในการตกแต่ง
เนื่องจากเป็นบ้านที่ไม่ได้เคยถูกใช้งานและปล่อยร้างมานานก็มีฝุ่น มีปลวก เราเข้ามาทำความสะอาด แต่โดยรวมแล้วแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือรีโนเวทอะไรมากนัก สีผนังยังคงเป็นสีเดิม แบ่งพื้นที่ใช้งานออกเป็นสองส่วน ด้านหน้าเป็นโซนสำหรับร้านกาแฟ ส่วนด้านในตรงห้องครัวทำเป็นเวิร์คชอป หาราวมากั้นหน่อยหนึ่งเพื่อสร้างสัดส่วนแล้วเราก็เอาผ้ามัดย้อมแขวนโชว์และใช้ประกอบในการสอน
ส่วนเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ที่นำมาตกแต่งเพิ่มเติมเป็นของสะสม ซึ่งเราสองคนชอบงานไม้และเซรามิกเหมือนกันมันก็เลยเป็นสไตล์เดียวกัน บางชิ้นตั้มเขาก็ทำเอง สังเกตว่าเฟอร์นิเจอร์ไม้ของที่นี่ไม่ทาสี เน้นสีธรรมชาติ อีกอย่างเฟอร์นิเจอร์เก่าของบ้านก็เป็นแนวที่เราชอบมันเลยแมทช์กันพอดี
เก็บเกี่ยวความสุข
พอเรามีโอกาสย้ายมาที่นี่เหมือนได้ก้าวและโตขึ้นมาอีกขั้น เราได้ปลูกต้นครามรอบๆ บ้าน เพื่อให้คนที่มาเรียนย้อมครามได้เห็นต้นจริง เราได้ปลูกฝ้ายเอง ปลูกดอกไม้ ปลูกผักสวนครัว เราได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีดังนั้นคุณภาพชีวิตของคนก็ดีตามไปด้วย คล้ายกับต้นไม้ถ้าอยู่ในดินที่ดีก็เจริญงอกงาม ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านของเราเอง คิดแค่ว่าจะทำให้ดีที่สุด ตั้งใจทำหรือฝันอยากทำอะไรก็จะทำให้สำเร็จ ภายใน 3 ปีนี้ หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน
เราไม่คิดว่าอนาคตจะมีหรือเปล่า ถ้าคิดมากแล้วละทิ้งโอกาสที่อยู่ตรงหน้าไปมันน่าเสียดาย เหมือนไปเอาความกลัวมาตัดสินเปล่าๆ หากทำแล้วมีความสุขเรายินดีทำแม้ว่าจะเอาอะไรไปไม่ได้เลยสักอย่าง แต่เราได้ใช้ประโยชน์จากมันในทุกๆ วัน นั่นคือผลลัพธ์แห่งความสุขที่ยิ่งใหญ่แล้ว
คุณตั้มและคุณแอน
เรื่อง วาสสุคนธ์ เอกประดิษฐ์
ภาพ วัจนนท์ ภาคะ