Water LilyHouse บ้านแห่งสมดุลภายใต้อ้อมกอดของธรรมชาติ

ผืนดินแห่งนี้ห่างไกลความจอแจจากชีวิตคนเมือง เป็นพื้นที่ที่มากด้วยเสน่ห์ ซ่อนความเงียบสงบ มีธรรมชาติโอบล้อม แม้ในอดีตเคยเป็นป่ารกร้าง แต่เมื่อเพ่งมองลึกลงไป กลับสัมผัสได้ถึงพลังเงียบสงบที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางร่มเงาไม้ เสียงนกร้องขับขานราวกับบทกวีของธรรมชาติ

เจ้าของบ้านครอบครองที่ดินผืนนี้มาเป็นเวลานานนับสิบปี โดยมีความคิดที่จะเปลี่ยนให้เป็นสถานที่พักผ่อนเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมในการแปรเปลี่ยนวิสัยทัศน์ให้เป็นจริง ที่นี่จึงไม่ได้เป็นแค่เพียงบ้าน แต่เป็นสถานที่ที่สะท้อนแนวคิดแห่งความสมดุลระหว่าง “ทางโลก” และ “ทางธรรม” ซึ่งเป็นหัวใจของการออกแบบสถาปัตยกรรมแห่งนี้

บ้านหลังนี้เป็นของครอบครัวสนธิจิรวงศ์ โดยมีคุณพ่อและคุณแม่เป็นศูนย์รวมของสมาชิก มองหาสถานที่ซึ่งหลอมรวมความสงบจากธรรมชาติเข้ากับศิลปะและสถาปัตยกรรมได้อย่างกลมกลืน ด้วยแนวคิดที่ต้องการให้พื้นที่แห่งนี้เป็นทั้งมุมพักผ่อนและแหล่งเติมเต็มพลังใจ ที่นี่จึงได้รับการออกแบบที่สะท้อนตัวตนตามแนวคิดของเจ้าของบ้าน โดยมีลูกๆ คุณแจน-ญาณิศา และคุณโจ้-สรวิช เข้ามามีส่วนช่วยในการเติมเต็มแนวคิด เพื่อให้บ้านหลังนี้ดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ภายใต้การออกแบบของคุณพิมพ์-พิมพ์ชนก หวังวีระมิตร และคุณไผ่-ปรีดิ์ ธีรกุล

พื้นที่เดิมที่เคยเป็นป่ารกร้าง ต้นไม้สูงเสียดฟ้า เจ้าของบ้านได้มองเห็นศักยภาพของที่ดินแห่งนี้และต้องการสร้างสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงความสมดุลระหว่าง 2 โลก โลกแห่งธรรมะและโลกแห่งปุถุชน สถาปนิกจึงออกแบบบ้านให้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนชัดเจน ส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ของความสงบ เรียบง่าย สอดคล้องกับธรรมชาติ อีกส่วนหนึ่งคือพื้นที่ของการปาร์ตี้สังสรรค์

จากความลึกลับสู่ความเปิดเผย

เส้นทางเดินที่เชื่อมเข้าสู่ตัวบ้านถูกออกแบบให้เป็นเส้นทางที่คดเคี้ยว ซับซ้อน มีความเป็นส่วนตัวสูง ทำให้ผู้มาเยือนไม่สามารถมองเห็นตัวบ้านทั้งหมดได้ในครั้งเดียว เหมือนเป็นการเชื้อเชิญให้เราค่อยๆ ได้ค้นพบพื้นที่ไปทีละนิดๆ เมื่อเดินผ่านแนวกำแพงเรียบง่ายที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเป็นพิเศษ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือธรรมชาติที่ถูกวางไว้อย่างตั้งใจ ต้นไม้เดี่ยวที่จัดวางให้เป็นจุดโฟกัส ก่อนที่มุมมองจะเปิดไปสู่ตัวอาคารที่ถูกออกแบบให้ตัดกับธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง

สองโลกที่ขัดแย้งแต่สมดุล

บ้านหลังนี้เลือกใช้สีเขียวของธรรมชาติเป็นองค์ประกอบหลักของพื้นที่ภายนอก ต้นไม้ที่มีอยู่เดิมได้รับการรักษาไว้เพื่อสร้างความกลมกลืน ในขณะที่ภายในถูกออกแบบให้เป็นโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง พื้นที่ภายในเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่เป็นงาน Man-Made ตั้งแต่การจัดวางต้นไม้แบบประดิษฐ์ ไปจนถึงภาพวาดโมเนต์ที่นำมาตีความใหม่ให้เป็นฉากหลังของพื้นที่หลัก

แรงบันดาลใจจากดอกบัว ตีความใหม่ผ่านงานเซรามิก

เจ้าของบ้านได้รับแรงบันดาลใจจากดอกบัวเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีสันหรือแนวคิดเชิงสัญลักษณ์ ดอกบัวซึ่งเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ที่เติบโตจากโคลน ได้รับการถ่ายทอดผ่านงานเซรามิกที่ออกแบบโดยเซรามิกอาร์ตทิสต์ นำมาสร้างสรรค์เป็นองค์ประกอบภายในบ้าน เพิ่มมิติทางศิลปะและความหมายที่ลึกซึ้งให้กับพื้นที่ ได้มีการพัฒนาเฉดสีพิเศษจำนวน 12 สี โดยได้รับแรงบันดาลใจจากองค์ประกอบทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นความพลิ้วไหวของสายน้ำ ความเงาของใบบัว สีสันอ่อนโยนของดอกบัว และการเปลี่ยนแปลงของแสงบนท้องฟ้า เฉดสีเหล่านี้ถูกนำมาเรียงร้อยจัดวางอย่างมีจังหวะเป็นแพตเทิร์นกว่า 12,000 ชิ้นที่สะท้อนแนวคิดแบบอิมเพรสชันนิสม์ของโมเนต์

กระเบื้องแต่ละแผ่นได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ ผ่านกระบวนการขึ้นรูปเฉพาะเพื่อให้เกิดพื้นผิวและมิติที่สอดคล้องกับแนวคิดของงาน การแปลอักษรด้วยเซรามิกถูกนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ลวดลาย เพิ่มมิติของความลึกและความหมายให้กับพื้นผิว การออกแบบทั้งหมดนี้เกิดจากการผสานเทคนิคงานช่างฝีมือเข้ากับแนวคิดทางสถาปัตยกรรมอย่างประณีต เพื่อให้ได้ผลงานที่มีเอกลักษณ์เหนือกาลเวลา

บ้านแห่งแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและศิลปะอิมเพรสชันนิสม์

ท่ามกลางบริบทของธรรมชาติ บ้านหลังนี้ได้รับการออกแบบให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย เสมือนงานศิลปะที่มีชีวิตผสมผสานระหว่างธรรมชาติ สถาปัตยกรรม และศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ แนวคิดหลักของบ้านคือการดึงสีสันจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวและผลงานจิตรกรรม “Water Lily” ของ Claude Monet มาเป็นหัวใจในการออกแบบ

สถาปัตยกรรมที่ร้อยเรียงธรรมชาติและมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน

บ้านถูกออกแบบให้เป็นบทสนทนาระหว่างธรรมชาติและความเป็นมนุษย์ พื้นที่ภายนอกปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่ควรเป็น โดยไม่ต้องจัดแต่งหรือควบคุมใดๆ แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ภายใน ทุกอย่างกลับมีจังหวะของสีสัน ความสนุกสนาน และองค์ประกอบที่ผ่านการออกแบบอย่างประณีต

แนวคิดของการผสานธรรมชาติและมนุษย์ถูกสะท้อนผ่านองค์ประกอบต่างๆ เช่น ต้นไม้ที่ถูกจัดวางเป็นวงกลมซึ่งเป็นรูปทรงที่เกิดขึ้นจากการออกแบบมากกว่าจะเป็นธรรมชาติที่เติบโตเอง ลวดลายของภาพวาดที่ปรากฏอยู่ภายในบ้านแม้จะได้รับแรงบันดาลใจจากสระบัวธรรมชาติที่อยู่ด้านหลัง แต่กลับไม่ได้แสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่าผ่านการจัดองค์ประกอบอย่างพิถีพิถัน

หนึ่งในคีย์สำคัญของงานออกแบบนี้คือการสร้างลวดลายจากเซรามิก ซึ่งต้องผ่านการเรียงอย่างแม่นยำ คล้ายกับการแปลอักษร เทคนิคนี้เกิดจากการร่วมมือกันของช่างฝีมือ สถาปนิก และศิลปินเซรามิก ที่นำเอาแรงบันดาลใจจากภาพเขียนอิมเพรสชันนิสม์มาถ่ายทอดสู่พื้นที่ทางสถาปัตยกรรม

อีกหนึ่งแนวคิดที่แทรกอยู่ในทุกรายละเอียดของบ้านหลังนี้คือการเลือกใช้สีอย่างพิถีพิถัน ทั้งหมดปราศจากสีดำ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการของอิมเพรสชันนิสม์ที่หลีกเลี่ยงการใช้สีดำโดยตรง แต่สร้างความลึกและเงาด้วยการผสมสีหลากหลายเฉดแทน แม้แต่เฟอร์นิเจอร์หรือห้องครัวก็ยังใช้สีที่สะท้อนถึงธรรมชาติ เช่น สีชมพูอ่อนของกลีบบัว แผ่นทองแดงบนเพดานผลิตโดยช่างฝีมือจากเชียงใหม่ ทุบให้เกิดเป็นเหมือนลายผิวน้ำ แล้วเคลือบทับด้วยสีคอปเปอร์จนได้ผิวสัมผัสที่เป็นธรรมชาติอย่างพิถีพิถัน

สำหรับห้องนอนได้รับแรงบันดาลใจจากเฉดสีที่แทรกอยู่ในธรรมชาติ เช่น ห้องโทนสีเขียวที่สะท้อนถึงใบบัว และในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ลวดลายของดอกบัวที่สอดแทรกอยู่ตามจุดต่างๆ โต๊ะข้างหัวเตียงที่ซ่อนรูปทรงของดอกไม้ หรือแม้แต่ห้องน้ำที่เลือกใช้สีที่แตกต่างกันระหว่างพื้นที่ของหญิงและชาย

ภายในที่เปี่ยมไปด้วยรายละเอียดและสีสัน

ตัวบ้านได้รับการออกแบบให้มีความแตกต่างระหว่างภายนอกและภายใน คุณพิมพ์ได้อธิบายให้ฟังเพิ่มเติมว่า “ภายนอกอยากให้เป็นธรรมชาติตามที่มันเป็น แต่ข้างในทุกอย่างจะมีสีสันและความมีชีวิตชีวา” โดยทุกองค์ประกอบตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงผนังได้รับการออกแบบโดยอ้างอิงสีจากธรรมชาติ ห้องครัวได้รับการออกแบบให้เป็นสีกลีบบัว ขณะที่ห้องนอนใช้สีเขียวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากใบบัว

กระบวนการออกแบบและก่อสร้างที่พิถีพิถัน

บ้านหลังนี้มีการออกแบบโครงสร้างที่ซับซ้อน โดยเริ่มจากการกรุผนังและกำหนดลายก่อนติดตั้งองค์ประกอบอื่นๆ การจัดเรียงวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ต้องทำอย่างแม่นยำเพื่อให้เกิดความสมดุลและสอดคล้องกับแนวคิดหลักของบ้าน

หนึ่งในจุดเด่นของบ้านคือห้องครัวที่มีแผ่นทองแดงบนเพดาน ซึ่งได้รับการสั่งทำพิเศษจากช่างฝีมือเชียงใหม่ โดยใช้เทคนิคการทุบให้เกิดลวดลายก่อนปิดทองและเคลือบสีคอปเปอร์ นอกจากนี้ผนังภายในยังมีการออกแบบให้มีช่องเปิดที่สามารถเชื่อมโยงกับพื้นที่เซอร์วิสคอร์ตกลางบ้านได้อย่างลงตัว

สถาปัตยกรรมที่โอบล้อมธรรมชาติด้วยจังหวะของแสง สี และความตั้งใจ

“บ้านหลังนี้เริ่มต้นจากบ่อบัวหลังบ้าน” เป็นคำพูดเรียบง่ายที่สะท้อนแก่นของบ้านหลังนี้ได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เพียงเพราะตำแหน่งของบ่อน้ำ แต่เพราะ “ดอกบัว” ได้แทรกซึมเข้าสู่ทุกมิติของการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด รูปทรง พื้นผิว สีสัน หรือแม้แต่การใช้งานของพื้นที่

กลีบดอกไม้ในงานสถาปัตยกรรม

หากมองจากมุมมองทางอากาศ บ้านหลังนี้แผ่กิ่งก้านเป็นลักษณะคล้ายกลีบดอกไม้ 4 แฉกแยกตัวอย่างอิสระ แต่ยังสัมพันธ์กันในจังหวะเดียวกัน ทุกกลีบคือปีกของฟังก์ชันที่ต่างกันแต่ล้วนเชื่อมโยงกันด้วยความรู้สึกของบ้าน

ตัวผังได้รับการออกแบบให้สามารถต้อนรับแขกได้ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งล้อมวง พักผ่อนหย่อนใจ หรือใช้ชีวิตประจำวันร่วมกัน พื้นที่ทุกส่วนเปิดเชื่อมถึงกันโดยไม่มีประตูปิดกั้นในลักษณะดั้งเดิม แต่ใช้เส้นโค้งเป็นภาษาสถาปัตยกรรมในการมาร์กขอบเขตประตูที่ไม่ได้ปิดแต่รู้ว่าคือทางผ่าน

สีและแสง วาทกรรมของความรู้สึก

โทนสีที่ใช้ทั้งภายในและภายนอกถูกควบคุมอย่างแม่นยำโดยแรงบันดาลใจจาก “บัว” ไม่ใช่แค่รูปทรง แต่รวมถึงเฉดสี กลีบบัวสีชมพูอ่อนที่กลายมาเป็นเฉดหลักของห้องครัว พื้นที่มาสเตอร์ที่ใช้โทนเขียวใบบัวอ่อนโยน ห้องน้ำที่แยกเฉดสีให้กับพื้นที่ของผู้หญิงและผู้ชาย และทุกห้องที่เลือกสีพาสเทล ครีม และน้ำตาลอ่อนเพื่อเป็นฉากหลังให้ชิ้นงานศิลปะได้ “พูด” อย่างเต็มเสียง

พื้นที่สำหรับการอยู่ร่วมกัน

หนึ่งในโจทย์สำคัญของบ้านนี้คือ “พื้นที่ที่ให้ทุกคนมาอยู่ด้วยกัน” โดยแบ่งการใช้งานเป็นโซน พื้นที่แรกเมื่อก้าวเข้ามาคือ ลิฟวิงรูม จุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นมุมดูทีวีที่แฝงด้วยความอบอุ่นและเปิดรับแสงธรรมชาติ ทุกจุดของห้องนี้เชื่อมต่อกับภายนอกอย่างตั้งใจ ไม่ใช่เพียงหน้าต่าง แต่คือ “เฟรม” ที่ทำให้ภาพธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต

ถัดจากนั้นคือไดนิงรูมที่ทอดยาวอย่างสง่างาม โต๊ะรับประทานอาหารขนาดใหญ่สามารถรองรับได้ถึง 20 ที่นั่ง พื้นที่นี้ไม่ได้ถูกออกแบบเพียงเพื่อกินข้าว แต่เพื่อการพูดคุย การพบปะ และการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว ทุกองค์ประกอบถูกจัดวางให้มองเห็นกันแม้จะอยู่ในมุมต่างๆ ไฮไลต์อยู่ที่การมองเห็นบัวสองโลก ฝั่งหนึ่งคือบัวธรรมชาติ อีกฝั่งคือบัวในภาพเพนติง

การจัดลำดับของพื้นที่ภายในบ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นเพียงการตอบโจทย์ฟังก์ชันเท่านั้น แต่เป็นการเรียงร้อยเรื่องราวและความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว ผ่าน “จังหวะ” ของสถาปัตยกรรมที่ร้อยเรียงจากพื้นที่หนึ่งสู่อีกพื้นที่อย่างราบรื่น

ถัดเข้าไปคือแพนทรี และครัวหนักกำหนดวางไว้ฝั่งซ้าย ขณะที่ฝั่งขวาเป็นห้องเก็บของ แม้จะเป็นฟังก์ชันที่ดูเรียบง่าย แต่รายละเอียดของงานออกแบบยังคงไม่ลดลง ครัวสีชมพูกลีบบัวกับแผ่นทองแดงบนเพดานยังคงสะกดสายตา และสะท้อนการผสานของความงามและการใช้งานได้อย่างมีจังหวะ

ห้องนอนซ่อนอยู่หลังภาพวาด

พื้นที่ลิฟวิงทั้งหมดเปิดโล่งและไหลลื่นก็จริง แต่สำหรับห้องนอนหลักกลับแอบซ่อนอยู่หลังภาพเพนติงขนาดใหญ่ เป็นการออกแบบที่คล้ายกับการ “หายตัว” เข้าสู่ความเป็นส่วนตัวโดยไม่ต้องมีผนังหรือประตูแบบดั้งเดิม

ภายในห้องนอนมีห้องน้ำในตัว และในบริเวณใกล้กันก็มีห้องน้ำแขกแยกชายหญิง ซึ่งแยกโซนด้วยโทนสี ห้องน้ำชายเป็นสีน้ำเงิน ห้องน้ำหญิงเป็นสีชมพูอ่อน ไม่เพียงแค่สร้างความชัดเจนด้านฟังก์ชัน แต่ยังรักษาความต่อเนื่องของโทนสีและอารมณ์ภายในบ้านได้อย่างกลมกลืน

มุมโปรด เฟรมของความทรงจำ

“ถ้าถ่ายภาพจากตรงนี้ จะเหมือนภาพวาดเลย” คุณโจ้เล่าพร้อมรอยยิ้ม นอกจากภาพที่สัมผัสอยู่ตรงหน้ายังมองเห็นแสงที่เปลี่ยนตามเวลา สีของดอกบัวที่ผลิบานในฤดูฝน หรือใบไม้ที่เปลี่ยนสีเมื่อฤดูกาลผันผ่าน ทั้งหมดคือจังหวะของธรรมชาติที่บ้านหลังนี้รับรู้และตอบสนองอย่างอ่อนโยนในทุกมิติ เขายังบอกกับเราอีกว่า ความรู้สึกหลังได้ใช้ชีวิตจริงในบ้านดอกไม้หลังนี้ ซึ่งมอบมุมสงบให้เขาได้ทำงานทั้งวันโดยไม่รู้สึกเหนื่อย ความใกล้ชิดกับธรรมชาติทุกเช้าทำให้บ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่ แต่เป็นสถานที่บำรุงจิตใจ

เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว และความเงียบที่สวยงาม

อีกหนึ่งความน่าสนใจของการเลือกเฟอร์นิเจอร์คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นเหมือนประติมากรรมลอยอยู่กลางห้อง อยากให้เฟอร์นิเจอร์อยู่เงียบๆ ไม่แย่งซีนหรือฟอร์มของผนังซึ่งเป็นพระเอก ด้วยความที่ผนังบ้านถูกออกแบบให้โค้งและเรียบในแบบที่โชว์เส้นสายของอาคารได้เต็มที่ เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดจึงถูกเลือกเป็นแบบลอยตัว ไม่มีการบิลต์อินติดผนัง เพื่อให้บ้านยัง “หายใจ” ได้ ทั้งโซฟาโมดูลาร์คัสตอมตามรูปทรงของคอร์ต และสามารถแยกชิ้นได้ โต๊ะรับประทานอาหารออกแบบให้รับกับระยะห้อง ไม่ประดับเกินจำเป็น ทุกชิ้นคือฟังก์ชันที่เข้าใจ “ระยะการใช้ชีวิต”

ครัวที่เป็นหัวใจของบ้าน

ครัวถูกแบ่งเป็น 2 โซนชัดเจน ครัวไทยด้านใน และแพนทรี-ครัวโชว์ด้านนอก เพื่อรองรับทั้งการใช้งานหนักและการจัดเลี้ยงรับแขก ครัวแพนทรีใช้เคาน์เตอร์หินทราเวอร์ทีนและโทนสีชมพูกลีบบัวที่เชื่อมโยงกับธีมหลักของบ้าน ส่วนเพดานอะลูมิเนียมที่ถูกตีลายคลื่นน้ำแล้วลงสีทองแดงก็ช่วยสร้างมู้ดอุ่นแบบมีประกาย

เพราะบ้านนี้ไม่ใช่แค่สวย แต่ใช้ทำอาหารจริงจัง “ครอบครัวเราทำธุรกิจเครื่องครัวมา 30 ปี” คุณโจ้เล่า พร้อมเสริมว่ามีแบรนด์ทั้งเทคโนแก๊ส สำหรับครัวใช้งานหนัก และ Cucina Galleria แบรนด์ครัวไฮเอนด์จากอิตาลีและฝรั่งเศส มีโชว์รูมใหม่อยู่ที่สาทร ซึ่งทำให้บ้านนี้เหมือนสถานที่ทดลอง และรวมเครื่องครัวกว่า 7–8 แบรนด์ในที่เดียว

บานตู้ต่างๆ เน้นซ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อให้ครัวดูนิ่ง เรียบ และกลายเป็นสเปซรวมกิจกรรมของครอบครัว วางแบบสามเหลี่ยมสไตล์อเมริกัน ส่วนล้าง ส่วนเตรียม และส่วนเสิร์ฟ ทำงานร่วมกันได้โดยไม่ติดขัด บาร์เล็กๆ ถูกยกระดับเป็นมุมดริงก์สำหรับนั่งชิลในครอบครัวและเพื่อนฝูง

Peaceful Time Together

“ทุกคนต่างคนต่างยุ่ง เจอกันจริงๆ ไม่ค่อยได้ แต่ที่นี่คือเวลาแฟมิลีไทม์ของเรา” สำหรับคุณแจนแล้วเธอบอกว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่เพียงงานออกแบบ แต่คือคำตอบของชีวิตที่หมุนเร็วในเมือง เธออยู่คอนโดฯ มีบ้านหลักที่สาทร แต่ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วย “ตารางเวลา” บ้านหลังนี้จึงถูกสร้างไว้เพื่อให้เพื่อนและครอบครัวได้มาใช้ “เวลา” ที่ไม่มีในเมือง

“พอมีที่แบบนี้ทุกคนก็ออกมาพร้อมกัน อยู่กันทั้งวัน นั่งคุยกันแบบทีวีไม่เปิด” ความเป็นส่วนตัว บรรยากาศสงบ วิวธรรมชาติที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล กลายเป็นฉากหลังของช่วงเวลาที่ “เรียบง่ายแต่สำคัญ” คุณพ่อคุณแม่มักจะมานั่งคู่กันริมกระจก มองออกไปข้างนอก เงียบๆ แต่สุขใจ คุณโจ้บอกว่า “พ่อรักบ้านหลังนี้มาก” ไม่เพียงแค่การพักผ่อน บ้านยังเปิดรับการสังสรรค์ ซึ่งห้องครัวกลายเป็นสเตจให้คุณแจนทำอาหารต้อนรับเพื่อนๆ ได้แบบจริงจัง มีทั้งมุมบาร์ มุมเตรียม มุมดริงก์ และฟังก์ชันรองรับการจัดเลี้ยงขนาดย่อม การได้เห็นทุกคนรวมตัวพร้อมหน้าพร้อมตา ทำกิจกรรมเล็กๆ อย่างพร้อมเพรียง กลายเป็นความสุขเรียบง่ายที่หาได้ยากขึ้นทุกวันในชีวิตเมือง

ที่นี่ไม่ใช่แค่พื้นที่สำหรับการพักผ่อน แต่คือศูนย์รวมของช่วงเวลาที่ครอบครัวได้ใช้ชีวิตร่วมกัน โดยไม่ต้องพึ่งพาโทรทัศน์หรือความเร่งรีบ มีเพียงน้ำเสียงของกันและกัน เสียงหัวเราะบนโต๊ะอาหาร บทสนทนาริมหน้าต่างที่มองเห็นดอกบัวค่อยๆ ผลิบาน และความสงบที่สัมผัสได้จากบริบทรอบๆ แม้บ้านหลังนี้จะยังมีโปรเจ็กต์ที่รอเติมเต็มในอนาคต แต่ไม่ว่าจะเป็นเฟสแรกหรือเฟสถัดไป ที่นี่ยังคงเป็นดอกไม้ที่แบ่งบานอยู่ในใจของทุกคน บ้านในฝันของครอบครัวที่มีความรักเป็นศูนย์กลาง

wassukon

wassukon

ไม่ได้จบโดยตรงด้านออกแบบ แต่ฝันอยากเป็นสถาปนิกแล้วโลกก็เหวี่ยงให้มาเขียนงานด้านออกแบบเป็นสิบปี ตอนนี้เลยมีโลกส่วนครัวมากกว่าโลกส่วนตัวไปแล้ว