Lifestyle & Cooking Place

the-ist design โฮมออฟฟิศของนักออกแบบที่มีแต่ความเรียบง่าย


ที่นี่เป็นโฮมออฟฟิศของบริษัทสถาปนิกและกราฟฟิค ดีไซน์ ชื่อ the-ist design เดิมเคยเป็นอาคารเก่าที่มีอายุไม่น้อยกว่า 30 ปี และถูกเปลี่ยนมือจากเจ้าของคนเก่ามาเป็นคุณเอ้กและคุณตูน ซึ่งกำลังมองหาบ้านใหม่หลังจากทั้งคู่แต่งงานเมื่อ 15 ปีที่แล้ว โดยมีโจทย์หลักว่าต้องไม่ไกลจากบ้านของคุณพ่อคุณแม่ของคุณเอ้ก ส่วนโจทย์รองลงมาก็คือ การทำบ้านให้เป็นออฟฟิศไปในตัว

คุณเอ้กเปิดบริษัทสถาปนิกทำงานทั้งสถาปัตย์ควบคู่กับงานอินทีเรีย ออกแบบบ้านมาแล้วมากมายหลากหลายรูปแบบ เราอดสงสัยไม่ได้ว่า หากสถาปนิกจะมีบ้านสักหลังเป็นของตัวเองเขาจะมีแนวคิดในการออกแบบอย่างไร ส่วนสไตล์คงไม่ต้องพูดถึงว่าจะสวยขนาดไหน แต่สุดท้ายเราก็ได้คำตอบจากคุณเอ้กว่า…อะไรที่ดูเรียบง่ายคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

โฮมออฟฟิศแห่งนี้ได้รับการรีโนเวทเป็นครั้งที่ 4 โดยคุณเอ้กและคุณตูนกำหนดคอนเซ็ปต์ไว้ว่า “บาลานซ์ระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตให้สมดุลขึ้น” จากที่เคยทำงาน 5 วันปรับน้อยลงเหลือ 3 วัน เพื่ออีก 2 วันที่เหลือสามารถทำกิจกรรมที่พวกเขาชอบ อย่างคุณเอ้กสนุกกับการทำอาหารและขนมปัง ในขณะที่คุณตูนชอบจักรยาน

จุดเริ่มในการรีโนเวทโฮมออฟฟิศครั้งใหม่ เริ่มจากช่วงโควิดที่ปรับรูปแบบการทำงานเป็น Work From Home ทั้งคู่จึงปรับรูปแบบการทำงานมาใช้ outsource เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเมื่อจำนวนพนักงานลดลง ฟังก์ชันที่ไม่ได้ใช้งานถูกปรับเปลี่ยนให้ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น “เรามองว่าพื้นที่ที่มีอยู่กลายเป็นที่เก็บของหมด แล้วไม่ได้ใช้งานเลย เคลียร์ให้โล่งน่าจะดีกว่า พอเริ่ม Work From Home น้องๆ เปลี่ยนงานเราก็ใช้วิธีไม่รับพนักงานเพิ่ม เลยขยับโซนตรงกลางให้สบายขึ้น เป็นที่สำรองสำหรับทีม outsource ที่สามารถแชร์พื้นที่การทำงานได้” คุณเอ้กอธิบาย

“โซนทำใหม่ตรงแพนทรีทีแรกเป็นมุมกั้นสำหรับเก็บตัวอย่างวัสดุของงานออกแบบทั้งหมด ไม่ได้เคลียร์หลายปี สุดท้ายช่วงหลังเราเริ่มมาจริงจังกับการทำขนมปังมากขึ้น พื้นที่ในครัวไม่พอเลยเคลียร์ออกหมด ทำเป็นแพนทรี มีมุมชงกาแฟ เป็นที่เตรียมทำขนมปัง พอทำมุมนี้แล้วแฮปปี้เลย เลิกจากงานเราก็มานั่งเล่นกันตรงนี้ ดูสูตรอาหารบ้าง เตรียมทำขนมปังบ้าง เรียกว่าเป็นพื้นที่ที่ได้ใช้ประโยชน์จริงๆ”

คุณตูนพูดเสริมขึ้นว่า “เป็นเพราะเราอยากจะเคลียร์ของออกด้วย ตอนทำบ้านมันทำให้เห็นเลยว่าเราสะสมอะไรไว้บ้าง เป็นของที่สะสมไว้จนเกินความจำเป็น พอเคลียร์ออกมันโล่งผนวกกับการรับงานที่น้อยลง สะท้อนว่ามาถึงจุดหนึ่งของชีวิตในการทำงาน บางทีเรามีคำถามว่า เราควรต้องทำงานขนาดไหนเพื่อให้พอดี เราทำงานเองที่ต่างจากการเป็นพนักงานประจำ เรากำหนดเวลาได้เองก็จริง แต่ความรับผิดชอบก็สูงตาม แบกรับความรับผิดชอบทุกอย่างจนมาคิดว่าคุ้มค่ากันไหมกับรายได้ กับสิ่งที่ทำ สิ่งนี้ก็สะท้อนไปถึงที่อยู่อาศัยด้วยว่าทุกอย่างตอนนั้นมันแน่นไปหมด แต่ตอนนี้มันโล่งขึ้น เรากำหนดเองได้นี่นา เราปรับเปลี่ยนได้ มีคำพูดหนึ่งที่พูดว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน พอถึงวัยนี้ ความคิดแบบนี้อาจจะน้อยลงแล้ว บางทีค่าของคนเราจะมีความสุขอย่างไรกับงานมากกว่า ทำงานมีคนชื่นชม สุดท้ายคำชมในวันรุ่งขึ้นมันก็ผ่านไป แต่เมื่อก่อนทำงานได้รับคำชม เรายิ่งต้องทำงานให้ดีมากขึ้นอีก เราก็หนัก มุมมองเริ่มเปลี่ยน ปรับแนวทางให้มีชีวิตการทำงานที่โอเค อาจจะมีหลายๆ องค์ประกอบด้วย ทั้งวัย ทั้งที่บ้านที่เราต้องไปดูแลพ่อแม่ เขาดูแลเราเราก็ต้องกลับไปดูแลเขา ผ่อนตรงนี้เพื่อไปเพิ่มตรงนั้น มันเหมือนจุดเปลี่ยนของช่วงชีวิต ทำงานใหม่ๆ ก็สด อายุสามสิบสี่สิบ แต่ตอนนี้เราแค่รักษาระดับไม่ได้มองว่าจะขยายอะไรอย่างไรต่อไป เราอยู่แค่นี้พอแล้ว ซึ่งจุดนี้มันก็สะท้อนในเรื่องของการตกแต่งภายในที่ดูเรียบง่ายขึ้น พอเราตัดใจจากสิ่งเหล่านี้ได้แล้วมันโอเค เราไม่ต้องไปแบกอะไรไว้ วันหนึ่งถ้าไม่มีก็คือไม่มี แต่ถ้ามีก็ดูแลและรักษาให้ดีเหมือนบ้านหลังนี้ที่เรารีโนเวท ผมว่าภาพรวมโอเค สิ่งไหนที่เป็นธรรมชาติก็ปล่อยไป เรียนรู้อยู่กับสิ่งที่มันผันไปตามกาลเวลา แค่ทำให้มันไม่โทรมเท่านั้นเอง”

“อย่างที่พี่ตูนบอกค่ะว่าพอเรารื้อของออกไปตั้งใจว่าจะไม่เอาของใหม่เข้าอีก ถ้าจะเอาอะไรเข้าต้องเอาอะไรออก เฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนที่ยังใช้ได้ก็ยังใช้ต่อไป วันหนึ่งถ้าหมดสภาพค่อยหาชิ้นใหม่ แล้วก็ได้ข้อคิดอีกเรื่องหนึ่งว่า เมื่อก่อนใช้โต๊ะทำงานคนเดียว 3 โต๊ะ ทั้งทำแบบ พรีเซนต์ เอกสาร พอตอนรีโนเวทต้องย้ายไปทำงานในห้องแมว ทำงานบนโต๊ะขนาดไม่ใหญ่มากแต่เราก็ยังนั่งทำงานได้ตั้งสองเดือน เลยพยายามคิดว่าใช้เท่าที่เรามีก็พอ ยิ่งถ้าจัดการกับมันดีๆ มันก็ยังใช้งานได้”

บรรยากาศภายในโฮมอออฟฟิศจากที่เคยดูแน่นและอึดอัดกลับดูโล่ง โปร่ง สบาย สิ่งไหนที่ดีอยู่แล้วก็คงไว้ ปรับเปลี่ยนแค่วัสดุตรงโซนทางเข้าจากบานอลูมิเนียมคอมโพสิตให้เป็นกรอบไม้ เปลี่ยนสีภายในใหม่ ให้ดูอบอุ่น สบายตามากขึ้น “ปรับออฟฟิศมาหลายรอบ ตอนนี้เราต้องการความเรียบง่ายที่สุด ดูน้อยที่สุด แล้วมองว่าสีขาวมันเป็น Timeless ให้ความรู้สึกโล่ง สบายตา แล้วคิดไว้ว่าจะดึงเอางานไม้เข้ามา แต่ปรากฏว่าเรากลับชอบที่มันยังเป็นของเดิมอยู่ อย่างพื้นกระเบื้องสีดำ ตู้หนังสือสีเทาซึ่งยังให้ความรู้สึก timeless อยู่ ฉะนั้นเลยเปลี่ยนแค่จากผนังสีเทา สีเหลือง และปูนขัดมันให้กลายเป็นสีขาวทั้งหมด มีงานเฟอร์นิเจอร์ไม้เข้ามาเพิ่ม คุมโทนหลักคือสีขาว เทา และไม้บางส่วน ส่วนเฟอร์นิเจอร์สำนักงานก็ยังเป็นของเดิมทั้งหมดซึ่งเป็นโทนสีขาว ดำ อยู่แล้ว ดังนั้นส่วนของออฟฟิศ และแพนทรีก็ยังสามารถเชื่อมโยงกันได้โดยไม่ขัดตา

“ไฟเพดานจากเดิมเป็นฟลูออเรสเซนต์ที่มีรีเฟล็กต์ เปลี่ยนมาเป็นแอลอีดีพาแนล แต่ในเรื่องไลท์ติ้งก็ยังไม่ชอบ ตำแหน่งที่ควรไฮไลท์ตรงรูปภาพที่ควรมีไฟส่องก็ไม่มี เพราะตอนรีโนเวทตัดสินใจไม่เอาเฟอร์นิเจอร์บิลต์อินอีกแล้ว เน้นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวที่สามารถลงล็อคกับพื้นที่ เพื่อในอนาคตอยากปรับเปลี่ยนจะได้ไม่มีปัญหาก็เลยโฟกัสเรื่องเฟอร์นิเจอร์เป็นหลัก และการเคลียร์ผนังให้เรียบร้อย ไม่ได้คิดเผื่อสำหรับไลท์ติ้ง พอจัดบ้านเสร็จมีจุดที่อยากจะไลท์ไฟก็ยังไม่ลงตำแหน่ง ด้วยระยะเวลาที่เราอยากให้บ้านเสร็จไวๆ ด้วย เพราะเราอยู่ด้วยรีโนเวทด้วย อยากให้ทุกอย่างกลับมาปกติให้เร็วที่สุด ซึ่งงานรีโนเวทหลายๆ ส่วนอาจจะดูไม่ได้เนี๊ยบและลงตัวมากเหมือนงานสร้างใหม่ แต่ส่วนตัวกลับมองว่ามันมีเสน่ห์ของความไม่สมบูรณ์แบบบางอย่างที่เราใช้ชีวิตอยู่กับมันได้

“ส่วนรูปแบบของห้องครัวเดิมเป็นขัดมันผสมสี ตอนนั้นเป็นช่วงที่อยากลองแมททีเรียลนี้ แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นผนังขาว เปลี่ยนโครงสร้างหลังคาทึบเป็นหลังคาไฟเบอร์กลาสโปร่งแสงแบบลอน เพราะอยากได้แสงธรรมชาติส่องถึง แล้วเปลี่ยนจากแทงก์น้ำใหญ่เป็นแทงก์น้ำขนาดเล็ก เพื่อลดการใช้พื้นที่ ประกอบกับข้อจำกัดของทาวน์โฮม คือ มักจะไม่มีพื้นที่สีเขียวภายนอกอาคาร ดังนั้นเลยอยากดึงเอาความเป็นธรรมชาติเข้ามาอยู่ภายในอาคาร จึงเกิดแนวคิดที่จะเอาต้นไม้มาอยู่ในบ้าน สร้างจุดนำสายตามองเห็นสีเขียวจากพื้นที่ภายใน ขณะเดียวกันก็เป็น function ที่เอามาเป็นส่วนที่บังแท้งค์น้ำด้านหลังบ้านได้คราวเดียวกัน แล้วเอาฟังก์ชันเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยการเลือกตู้ลอยตัวมาวางให้ตำแหน่งพอดีและดูเบา หรืออย่างตู้ไม้เตี้ยๆ ออกแบบให้มีล้อเพื่อเลื่อนสำหรับทำความสะอาดพื้นที่ด้านในได้”

เนื่องจากห้องครัวมีพื้นที่จำกัด เน้นการออกแบบที่ดูเรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริงและครบตามความต้องการของเจ้าของบ้าน มีโซนคุกกิ้งพร้อมพื้นที่จัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ในครัว ในขณะที่โซนล้างอยู่ทางด้านซ้าย ตรงกลางเป็นโต๊ะกินข้าว ส่วนพื้นที่ถัดไปเป็นพื้นที่สำหรับวางเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก “ด้วยความที่คุ้นเคยกับการใช้ครัวเล็กมาตลอด มีคนถามเหมือนกันว่าเตาแก๊สกระป๋องแบบนี้ใช้ทำอาหารได้จริงหรือ…ทำได้จริงนะคะ เพราะเราก็ทำมาหมดทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง ด้วยความที่อยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้วท่านเป็นคนทำอาหารกินเอง เราเลยติดวิถีการทำอาหารกินเอง ไม่ติดการไปกินอาหารนอกบ้าน เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ลงมือทำอาหารจะวางแผนไว้เลยว่า ต้องอะไรก่อน หลัง ทำเสร็จแล้วล้างเก็บทันที เพราะมันไม่มีพื้นที่ให้เราได้วางของเยอะเหมือนครัวใหญ่ๆ ฉะนั้นต้องจัดระบบความคิดในการใช้งานครัวให้ดี เลยทำให้สามารถปรับตัวกับการใช้ครัวขนาดเล็กแบบนี้ได้”

จากอาคารเก่าที่มีอายุกว่า 30 ปีถูกปรับเปลี่ยนหน้าตาและบรรยากาศใหม่ให้กลายเป็นโฮมออฟฟิศ ซึ่งผสมผสานฟังก์ชันทั้งพื้นที่ทำงานและที่พักอาศัย ภายใต้การออกแบบที่คงความเรียบง่ายเชื่อมโยงกับตัวตนของคุณเอ้กและคุณตูนในช่วงวัยที่ไม่ต้องการอะไรแปลกใหม่ แต่พึงใจกับสิ่งที่มีและเป็นอยู่ด้วยความสุขที่แสนเรียบง่าย

เจ้าของ: คุณเอ้ก-จุฑามาศ กาญจนไพโรจน์ และคุณตูน-เจตนัตร์ ตรีเพชร


You Might Also Like...