ประเทศไทยขาดเลือดมากกว่าที่คิด – การให้ที่ไม่ต้องใช้เงิน แต่ต่อชีวิตได้จริง

ทุกวันมีผู้ป่วยที่รอเลือดเพื่อรักษาชีวิต แต่ประเทศไทยยังขาดแคลนโลหิตกว่า 50,000 ยูนิตต่อปี จากความต้องการเฉลี่ย 700,000 ยูนิตทั่วประเทศ ขณะที่จัดหาได้เพียง 650,000 ยูนิต (ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย, รายงานปี 2565–2566) เลือดหนึ่งถุงจากผู้บริจาคหนึ่งคนช่วยชีวิตได้ถึงสามคน แยกเป็นสามส่วนสำคัญ ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือดและพลาสมา นี่คือการให้ที่ไม่ต้องใช้เงิน แต่มีค่ามากกว่าทุกสิ่ง ถึงเวลาที่เราต้องร่วมกันเติมเต็มช่องว่างนี้ ก่อนจะสายเกินไป

“บริจาคเลือด” การให้ที่ไม่ต้องใช้เงิน แต่ช่วยชีวิตได้จริง

ในโลกที่การบริจาคออนไลน์ทำได้เพียงไม่กี่คลิก แต่การบริจาคเลือดต่างออกไป เป็นการให้ด้วยร่างกายและหัวใจอย่างแท้จริง ในทางการแพทย์การบริจาคเป็นประจำทุก 3 เดือน ไม่เพียงช่วยผู้ป่วย แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่          ลดความหนืดของเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ และยังได้รับการตรวจสุขภาพฟรีก่อนบริจาค เช่น การวัดความดัน ระดับฮีโมโกลบิน และโรคติดต่อทางเลือด ถือเป็นการดูแลตัวเองและผู้อื่นในเวลาเดียวกัน  

ด้านจิตใจ แม้จะยังไม่มีการวิจัยที่ศึกษาผลเชิงลึกโดยตรง แต่จากข้อมูลและประสบการณ์ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ พบว่า ผู้ที่มาบริจาคซ้ำอย่างสม่ำเสมอมีแนวโน้ม “รู้สึกดีและภาคภูมิใจ” ที่ได้ช่วยเหลือชีวิตผู้อื่น ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญให้คนไทยจำนวนมาก กลับมาบริจาคซ้ำทุกครั้งที่ครบกำหนด

สำหรับองค์กร การบริจาคเลือดคือ กิจกรรมที่สร้างพลังบวก เชื่อมโยงเพื่อนร่วมงานและสะท้อนวัฒนธรรมการให้ที่ยั่งยืน ถึงเวลาที่เราต้องร่วมกันเติมเต็มช่องว่างนี้ เพราะเลือดทุกหยดคือพลังชีวิตที่หมุนเวียนกลับสู่สังคมไทย

จากโครงการเล็กๆ ในองค์กร สู่ความหวังของหลายชีวิต

ประเทศไทย หลายองค์กรภาคเอกชนลุกขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการเชิญชวนพนักงานร่วมบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาภาวะขาดแคลนเลือดในประเทศ

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในองค์กรที่ยืนหยัดทำกิจกรรมนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 19  โดยร่วมกับ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดโอกาสให้ผู้บริหารและพนักงานจิตอาสาบริจาคเลือดทุก 3 เดือน โดยในปี 2568 เพียงปีเดียว เคทีซีได้รวบรวมโลหิตกว่า 264 ยูนิต หรือ 118,800 ซีซี ซึ่งเทียบเท่ากับการต่อชีวิตให้ผู้ป่วยได้มากกว่า 792 ชีวิต  ผ่านระบบหมุนเวียนของสภากาชาดไทยที่กระจายเลือดไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศ 

การบริจาคโลหิตไม่ใช่เพียงกิจกรรมเพื่อสังคม แต่คือ  “วัฒนธรรมแห่งการให้” ที่ปลูกฝังอยู่ในองค์กร สะท้อนถึงแนวคิดการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนในรูปแบบที่จับต้องได้ และเกิดขึ้นจากหัวใจของคนทำงาน

การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต

  • อายุ: 17– 70 ปี (บริจาคครั้งแรกไม่ควรมีอายุเกิน 60 ปี)
  • น้ำหนัก: ไม่ต่ำกว่า 45 กิโลกรัม
  • สุขภาพ: แข็งแรง ไม่มีอาการอ่อนเพลียและนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 5 ชั่วโมงก่อนบริจาคโรคประจำตัว:  เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันสูง สามารถบริจาคได้ หากควบคุมโรคและไม่มีภาวะแทรกซ้อน หากอยู่ระหว่างรับประทานยา ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ทุกครั้ง
  • อาหาร: รับประทานอาหารมื้อหลัก หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงหรือน้ำมันมาก ภายใน 6 ชั่วโมงก่อนบริจาค เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู แกงกะทิ เพราะทำให้พลาสมาขุ่น ไม่สามารถใช้รักษาผู้ป่วยได้
  • ดื่มน้ำ: 300-500 ซีซี ก่อนบริจาคประมาณ 30 นาที เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดี และลดความเสี่ยงเป็นลม
  • งด: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาค 1 ชั่วโมง การดูแลหลังบริจาคโลหิต
  • นอนพักที่เตียง 5 นาที และนั่งพัก 10–15 นาที พร้อมดื่มน้ำและรับประทานของว่าง
  • ดื่มน้ำมากกว่าปกติ 24 ชั่วโมงหลังบริจาค และรับประทานยาเสริมธาตุเหล็กตามคำแนะนำ
  • งดออกกำลังกายหนัก ยกของหนัก หรือทำงานเสี่ยงภายใน 24 ชั่วโมง

ข้อห้ามสำคัญ

  • ตั้งครรภ์ / ให้นมบุตร: งดบริจาคโลหิตอย่างน้อย 6 เดือนหลังคลอดหรือแท้ง
  • มีประจำเดือน: ควรหลีกเลี่ยงหากร่างกายอ่อนเพลีย
  • สัก เจาะผิวหนัง ฝังเข็ม: ต้องเว้นอย่างน้อย 4 เดือน
  • ผ่าตัดใหญ่: เว้น 6 เดือน / ผ่าตัดเล็ก เว้น 7 วัน
  • โรคติดต่อร้ายแรง เช่น HIV, ตับอักเสบ, มาลาเรีย ต้องงดบริจาคตามระยะเวลาที่กำหนด (เช่น มาลาเรียเว้น 3 ปี)
  • พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์: งดบริจาคอย่างน้อย 4 เดือนหลังมีความเสี่ยง

แหล่งอ้างอิง: ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และสถานพยาบาลต่างๆ

Kitchen & Home

Kitchen & Home

หลากหลายเรื่องราวน่ารู้คู่ครัว การตกแต่งบ้าน งานดีไซน์ และไลฟ์สไตล์