กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง เตรียมความพร้อมก้าวสู่ปีที่ 48 อย่างมั่นคงและยั่งยืน เผยผลความมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องภายใต้มาตรฐานการผลิตระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นให้แบรนด์น้ำมันรำข้าว “คิง” เป็นอันดับ 1 ที่ครองใจผู้บริโภค เชิดชูคุณค่า “รำข้าวไทย” เดินหน้าต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพหลากหลาย พร้อมลงทุน 1,500 ล้านบาท สร้างโรงงาน เพิ่มเครื่องจักรเทคโนโลยีสูง รองรับการเติบโตในอนาคต คาดทะยานสู่ธุรกิจ 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 ยืนหนึ่งผู้นำตลาดน้ำมันรำข้าวไทย
นายประทีป สันติวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง หนึ่งในผู้นำธุรกิจน้ำมันรำข้าวและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับรำข้าวทั้งในและต่างประเทศ ได้เปิดเผยว่า กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2520 ด้วยความเชื่อมั่นในคุณค่าของ “รำข้าวไทย” สู่เส้นทาง การผลิตน้ำมันรำข้าวที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณประโยชน์ตามมาตรฐานการผลิตระดับสากล ในโอกาสเข้าสู่ปีที่ 48 จะยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพและการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยยึดถือเรื่องสุขภาพของผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง ชูจุดเด่น “น้ำมันรำข้าวคิง” น้ำมันรำข้าวระดับพรีเมียมที่แตกต่างด้วยคุณภาพ อุดมด้วยคุณค่าวิตามินและสารอาหารตามธรรมชาติ ผลิตจากรำข้าวไทย 100% จึงปลอด GMOs ตอบโจทย์การทำอาหารของคนรักสุขภาพทุกไลฟ์สไตล์ “น้ำมันรำข้าวคิง” คือน้ำมันคู่ครัวคนรักสุขภาพ
ทั้งนี้กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง มีกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าวที่ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค ได้แก่ น้ำมันรำข้าวคิง โอรีซานอล 8,000 ppm น้ำมันรำข้าว King โอรีซานอล 12,000 ppm และน้ำมันรำข้าวไรซ์ลี่ โอรีซานอล 15,000 ppm รวมถึงมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ ได้แก่ ชอร์ตเทนนิ่งน้ำมันรำข้าวคิง ครีมเทียมน้ำมันรำข้าวไรซ์ลี่ และผลิตภัณฑ์ใหม่ เครื่องดื่มรำข้าวไรซ์ลี่
กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง เรามีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อให้กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงแข็งแกร่งขึ้น และสร้างการเติบโตทางธุรกิจหลักๆ ด้วยกัน 3 ส่วน คือ การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตของคู่ค้าและรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น การลงทุนทางด้าน R&D และการวิจัยตลาดเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่สำหรับตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพ และการให้ความสำคัญกับการสื่อสารทางการตลาดที่ต้องเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง รวมถึงให้ความสำคัญกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ
นายประทีป กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบัน เรามีโรงงานถึง 3 แห่ง ตั้งอยู่ที่สมุทรปราการ อยุธยา และนครราชสีมา ซึ่งโรงงานสกัดของเรามีกำลังการผลิตรวมกว่า 1,550 ตันรำข้าว/วัน ทำให้สามารถผลิตน้ำมันรำข้าวดิบได้มากถึง 88,000 ตัน/ปี ส่วนโรงกลั่นของเรามีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ประมาณ 350 ตันน้ำมันดิบ/วัน สามารถผลิตน้ำมันสำเร็จรูปได้มากถึง 60,000 ตัน/ปี และเพื่อจะขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต บริษัทเตรียมลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานสาขา จ.นครสวรรค์ เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการวัตถุดิบให้ดีเลิศ และมีแผนการลงทุนในการพัฒนาเครื่องจักรให้กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงทันสมัยด้านเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันรำข้าว ทั้งนี้เรายังมีงบในการพัฒนาด้าน ESG เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดน้ำมันรำข้าวระดับโลก
นอกจากนั้น บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการทำการตลาดและให้ความรู้กับผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักการสื่อสารการตลาดบนรากฐานของความจริง คุณประโยชน์ต่างๆ ของน้ำมันรำข้าวที่เรานำเสนอ ล้วนมีงานวิจัยที่เชื่อถือได้รองรับทั้งสิ้น โดยในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เราลงทุนในเรื่องของการสื่อสารการตลาดไปมากกว่า 270 ล้านบาท และมีการปรับกลยุทธ์การสื่อสารอยู่ตลอดเวลาให้เข้ากับทุกยุคสมัยและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง เน้นการสื่อสารที่ชัดเจน ตรงประเด็น เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ด้วยความตั้งใจนี้ จึงทำให้เราสามารถอยู่ในตลาดของน้ำมันรำข้าว และเป็นอันดับ 1 มาได้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
นายประทีป กล่าวปิดท้ายว่า ตลอด 47 ปีกับความสำเร็จของกลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง เป็นบทพิสูจน์ความตั้งใจของเรา ที่สามารถนำคุณค่าของรำข้าวไทยมาสร้างสรรค์และพัฒนาจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ภายใต้การดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล เราเชื่อว่าความทุ่มเทอย่างไม่หยุดยั้ง ประกอบกับการลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพของเรา จะเป็นแรงผลักดันให้กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงเติบโตอย่างยั่งยืน และมุ่งสู่ยอดขาย 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2573