หลายคนอาจสงสัยว่าความสำเร็จของคนเรานั้นต้องมีส่วนประกอบของอะไรบ้าง บางคนคิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบ คำว่า “ความสำเร็จ” บางครั้งเลยดูเป็นเรื่องที่จับต้องได้ยาก ซึ่งจริงๆ แล้วคำตอบของมันอาจจะเป็นอะไรที่ง่ายมากๆ เพียงแค่เราต้อง “ลงมือทำ” เท่านั้นเอง และที่สำคัญคือต่อให้ต้องล้มสักกี่ครั้งแพ้สักกี่หนก็ต้องลุกขึ้นมา คุณจิว-ณรงค์ชัย จิราพาณิชกุล บอกว่าวันหนึ่งมันต้องเป็นของเรา
เติบโตมากับธุรกิจของครอบครัว
ก่อนอื่นต้องเล่าก่อนว่าครอบครัวของผมทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์มาตั้งแต่ผมจำความได้ แรกเริ่มเราขายอยู่บนถนนแม้นศรี ก่อนจะย้ายมาอยู่ย่านลาดพร้าว เพราะคุณพ่อกับคุณแม่มองเห็นว่าสภาพแวดล้อมตรงนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจจะส่งผลไม่ดีต่ออนาคตของลูกๆ จึงย้ายไปอยู่ที่ลาดพร้าว ซึ่งในสมัยนั้นรถประจำทางสุดสายแค่โชคชัยสี่ คุณพ่อกับคุณแม่ต้องอาศัยรถบรรทุกหิน กรวด เข้าไปเพื่อให้ถึงซอยลาดพร้าว 128/1 (ในปัจจุบัน) ซึ่งไกลมาก เพื่อซื้อที่สำหรับสร้างที่พักอาศัยและโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ นั่นก็คือจุดเริ่มต้น ซึ่งผมก็คลุกคลีและซึมซับเกี่ยวกับเรื่องเฟอร์นิเจอร์มาตั้งแต่เด็กจนผมโต
ซึ่งตอนเด็กๆ ผมก็เกเรอยู่เหมือนกัน ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ จำได้ว่าตอนที่ใกล้จะเรียนจบ ม.6 จากโรงเรียนเซ็นต์คาเบรียลในเทอมสุดท้าย คุณแม่บอกว่าจะให้ไปเที่ยวที่ประเทศออสเตรเลีย โดยให้น้าพาเราไป คุณแม่บอกจะตามไปทีหลัง ปรากฏว่าเป็นการไปเที่ยวที่ได้กลับมาอีกทีหลังจากเรียนจบปริญญาตรี ซึ่งผมจบทางด้านการตลาดจาก Monash University
หลังจากเรียนจบผมก็กลับมาช่วยดูแลธุรกิจของครอบครัว แต่ตัวผมและพี่ๆ เราเรียนจบจากต่างประเทศ เลยมานั่งคุยกันว่าแบรนด์ที่คุณพ่อกับคุณแม่สร้างมานั้นยังมีบางอย่างไม่โอเคนะ เราเลยมีการสร้างแบรนด์ใหม่ให้ดูทันสมัยมากขึ้น
กว่าจะมาเป็น Villa Vinotto
หลังจากที่ธุรกิจของครอบครัวเริ่มอยู่ตัวแล้ว ประมาณ 5-6 ปี ผมมองว่ามันถึงจุดที่ไปไหนต่อไม่ได้แล้ว ซึ่งเราทำกันเต็มความสามารถแล้ว เลยมานั่งคิดว่าแล้วเราต้องทำยังไงต่อดี ก็กลับมามองตัวเองว่าเราสั่งสมประการณ์เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์มาเป็นเวลานาน เราดูแลทั้งเฟอร์นิเจอร์นำเข้าและส่งออกมาเป็นเวลานาน ซึมซับความรู้เหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัว จนในที่สุดผมก็เปิด Vinotto ขึ้นมา โดยนำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากยุโรป สาขาแรกนั้นอยู่ที่ทองหล่อ เหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะไปได้ดี แต่สุดท้ายก็ต้องปิดตัวลงเนื่องจากผลกำไรขาดทุน
หลังจากนั้นผมก็มานั่งวิเคราะห์ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากอะไรบ้าง แล้วค่อยๆ แก้ไขไปทีละอย่าง เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส จนในที่สุดก็เกิดเป็น Villa Vinotto ที่ซอยสุขุมวิท 26 แห่งนี้ ผมมองว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมถนัดมากที่สุด เพราะเราคลุกคลีและเติบโตมากับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ นอกจากเรื่องของการบริหาร การทำธุรกิจแล้ว ตัวผมเองยังชื่นชอบและหลงใหลในเฟอร์นิเจอร์ด้วย แต่กว่าจะเป็น Villa Vinotto อย่างทุกวันนี้ก็ต้องผ่านอุปสรรคอะไรมามากมาย ทั้งเรื่องขาดทุน เฟอร์นิเจอร์ขายไม่ออกบ้าง ผลกระทบจากเศรษฐกิจบ้าง
แต่ผมคิดอยู่เสมอว่าในวิกฤตมันต้องมีโอกาส ไม่มีทางที่จะมีคนแพ้อย่างเดียวสิ เหมือนเวลาที่เราเล่นเกมส์ก็ต้องมีทั้งคนแพ้ทั้งคนชนะ หรือถ้าเศรษฐกิจไม่ดีแต่มันก็ต้องมีทั้งคนขายได้ มีคนขายไม่ได้ เราต้องคิดบวก ทุกอย่างนี้ผมทำมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ผมเดินทางรอบโลกเพื่อไปเลือกเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นมาไว้ที่ Villa Vinotto ด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านดีไซน์ติดตัวมาตั้งแต่แรก แต่ผมซึมซับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เด็กบวกกับการที่เราทำงานหนัก นั่นทำให้เราประสบความสำเร็จ ถ้าคนอื่นนอน 8 ชั่วโมง ผมนอนแค่ 4 ชั่วโมง ถ้าเขาเดิน 20 ก้าว ผมก็จะวิ่ง 20 ก้าว ในด้านหนึ่งคนอาจจะมองว่าผมเป็นนักธุรกิจ แต่อีกมุมหนึ่งผมก็เป็น Living Stylist ด้วย
แนวคิดการทำงาน
ผมมองว่า Villa Vinotto คือบ้านของผม คอนเซ็ปต์คือที่นี่คือบ้านของคุณจิว Vinotto ที่ยินดีต้อนรับทุกคนที่อยากจะมาเยี่ยมบ้านเรา เรามีทั้งหมด 13 ห้อง แต่ละห้องจะมีไอเดียและคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ผมไม่ได้มองว่าผมเป็นคนขายเฟอร์นิเจอร์ แต่ผมเป็นนักออกแบบ เป็นอินทีเรียดีไซน์เนอร์ พูดง่ายๆ คือเปรียบเสมือนถ้าเราเป็นแฟชั่นสไตล์ลิสต์ แล้วมีใครสักคนเดินเข้ามาหาเรา ผมก็ต้องมองว่าคนนี้น่าจะใส่เสื้อลายทางนะ จะได้ดูไม่เจ้าเนื้อ หรือทาบรัชออนสีนี้หน้าตาจะได้ดูสดชื่นขึ้น แต่ผมไปทำสิ่งเหล่านี้ให้กับบ้าน ผมเลยมองว่าตัวเองเป็น Living Stylist
ที่ผมต้องทำคอนเซ็ปต์ของแต่ละห้องของที่นี่ให้แตกต่างกัน เพราะผมพยายามคาดเดาว่า ครอบครัวหนึ่งจะต้องประกอบไปด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และลูกๆ ไม่ว่าจะลูกสาว ลูกชาย ผมคิดว่าถ้าออกแบบห้องนี้ต้องถูกใจคุณแม่ ห้องนี้ต้องถูกใจคุณพ่อ ห้องนี้ถูกใจลูกสาว ห้องนี้ถูกใจลูกชาย เป็นไอเดียที่ครบสำหรับทุกคนในครอบครัว ซึ่งการออกแบบของผมไม่เพียงแต่ดูในเรื่องของเฟอร์นิเจอร์อย่างเดียวว่าควรออกแบบอย่างไร จัดวางตรงไหน แต่เราต้องมองเรื่องของไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้าน เจ้าของสถานที่ด้วยว่าเขาเหมาะกับอะไร ผมไม่อยากให้มองว่าที่นี่เป็นโชว์รูม แต่ผมคิดว่านี่คือบ้านของผม ผมออกเดินทางไปฝรั่งเศส เบลเยี่ยม อิตาลี แล้วนำเฟอร์นิเจอร์และไอเดียต่างๆ มารวมไว้ที่นี่ เราไม่ได้ขายเฟอร์นิเจอร์ แต่ผมขายความเป็นตัวตนของเรา เป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่ได้มาเยี่ยมเยียน ต้องบอกว่าของทุกชิ้นที่ Villa Vinotto นั้นผมเลือกมาด้วยตัวเอง ที่ผมทำแบบนี้เพราะผมมีความสุขที่ได้ทำ ทำให้เรารู้สึกว่าอยากมาทำงาน
หลังจากการสัมภาษณ์จบลง คุณจิวทำให้เราได้รู้ว่าถ้าเราหว่านเมล็ดพันธุ์ของความพยายาม ขยัน และอดทน แล้วหมั่นดูแลรักษา รดน้ำ แล้วรอคอยให้ทุกอย่างค่อยๆ เติบโต ไม่ใช่เพียงออกดอกออกผลมาเป็นความสำเร็จอย่างเดียว แต่ยังสร้างความสุขให้เราได้ชื่นใจอีกด้วย
บทความจากคอลัมน์ “Professional” นิตยสาร @Kitchen ฉบับที่ 119 ประจำเดือนกรกฎาคม 2559